Nanthawan Laithong

จาก ‘หน้าฮ้าน’ สู่ ‘เงินล้าน พามาเบิ่ง 14 หมอลำหญิงเสียงทองแห่งแดนอีสาน

เสียงพิณเสียงแคนสะท้านโลก นักร้องหมอลำหญิง ปลดล็อก Soft Power อีสาน สู่มูลค่าเศรษฐกิจพันล้านบาท ภาคอีสาน ดินแดนแห่งวัฒนธรรมอันสวยงาม ไม่ได้มีเพียงข้าวเหนียวและทุ่งกุลาร้องไห้ แต่มี “หมอลำ” ที่เป็นมากกว่าการแสดงพื้นบ้าน แต่มันคือจิตวิญญาณแห่งวิถีชีวิตของคนอีสาน เป็นเครื่องมือสื่อสารเรื่องราวประวัติศาสตร์ สังคม และความรู้สึกนึกคิดของคนอีสาน และที่สำคัญอย่างยิ่งคือการที่หมอลำได้ขึ้นมาเป็น Soft Power อันทรงพลัง ที่ไม่เพียงสร้างความบันเทิง แต่ยังเป็นจักรกลขับเคลื่อนเศรษฐกิจและธุรกิจในภูมิภาคให้เติบโตอย่างมหาศาล    หมอลำ Soft Power อีสาน ที่หยั่งรากลึกและผลิบาน ในยุคที่ Soft Power ถูกพูดถึงเป็นอย่างมากในปัจจุบัน หมอลำได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพอันโดดเด่นนี้อย่างเป็นรูปธรรม ด้วยเนื้อหาที่เข้าถึงง่าย ดนตรีที่มีจังหวะเร้าใจ และการแสดงที่เต็มไปด้วยพลัง หมอลำได้ก้าวข้ามขีดจำกัดทางภูมิศาสตร์และภาษา ไม่ใช่แค่คนอีสานเท่านั้นที่หลงใหล แต่ยังขยายฐานแฟนคลับไปทั่วประเทศและในหมู่คนไทย รวมถึงชาวต่างชาติที่เริ่มให้ความสนใจ   นักร้องหมอลำหญิง คือ หนึ่งในหัวใจสำคัญของ Soft Power ชิ้นนี้ ด้วยน้ำเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ ลีลาการแสดงที่ตื่นตาตื่นใจ และความสามารถในการสื่อสารอารมณ์ผ่านบทเพลง ต่างก็ได้กลายเป็น สัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม ที่เชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกันผ่านเสียงเพลง ไม่ว่าจะเป็น “ราชินีหมอลำ” ระดับตำนาน ไปจนถึงดาวรุ่งพุ่งแรงในยุคดิจิทัล พวกเขาเหล่านี้ไม่ได้ขายเพียงบทเพลง แต่ขาย “ตัวตน” “เรื่องราว” และ “วิถีชีวิต” ที่สะท้อนความเป็นอีสานอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นสิ่งที่สร้างความผูกพันทางอารมณ์กับผู้ฟังอย่างลึกซึ้งนั่นเอง   จากเวทีสู่มูลค่าเศรษฐกิจ หมอลำสร้างเงินได้อย่างไร? การประเมินมูลค่าทางเศรษฐกิจของหมอลำนั้นมีความซับซ้อน แต่สามารถประมาณการณ์ได้อย่างคร่าวๆ ว่ามีมูลค่าไม่ต่ำกว่า พันล้านบาทต่อปี และมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง มูลค่านี้เกิดจากหลายภาคส่วนที่เชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ โดยมีคณะหมอลำเป็นศูนย์กลางในการขับเคลื่อน   ซึ่งธุรกิจการแสดงและคอนเสิร์ต นี่คือแหล่งรายได้หลักที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด วงหมอลำคณะใหญ่ๆ โดยเฉพาะวงที่มีนักร้องหมอลำหญิงและชายเป็นแม่เหล็กดึงดูด สามารถทำรายได้จากการเดินสายแสดงทั่วประเทศได้มหาศาลต่อปี ค่าจ้างแสดงของศิลปินเบอร์ต้นๆ และวงขนาดใหญ่ มีตั้งแต่หลักแสนถึงหลักล้านบาทต่อคืน หากรวมค่าใช้จ่ายในการจัดงาน เวที แสง สี เสียง ทีมงาน การขนส่ง และค่าบัตรเข้าชม จะเห็นว่ามีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบนี้เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลหรือฤดูกาลการแสดง ซึ่งเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างแท้จริง   หรือแม้กระทั่ง ธุรกิจบันเทิงดิจิทัล ในยุคดิจิทัล แพลตฟอร์มออนไลน์ได้กลายเป็นช่องทางสร้างรายได้มหาศาล นักร้องหมอลำหญิงหลายคนมีผู้ติดตามบน YouTube, TikTok, Facebook และแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งอื่นๆ เป็นจำนวนมาก รายได้จากยอดวิว โฆษณา การขายเพลงดิจิทัล การไลฟ์สด และการรับบริจาค (Super Chat/Sticker) เป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญอย่างยิ่ง ยิ่งไปกว่านั้น การสร้างคอนเทนต์เบื้องหลัง การทำ Vlog ชีวิตส่วนตัว และการสร้างปฏิสัมพันธ์กับแฟนคลับผ่านช่องทางดิจิทัล ยังเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มและขยายฐานแฟนคลับให้กว้างขวางขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกด้วย   สินค้าที่ระลึกและธุรกิจต่อเนื่อง ความนิยมของนักร้องหมอลำนำไปสู่การพัฒนาสินค้าที่ระลึกที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า เครื่องประดับ โปสเตอร์ อัลบั้มเพลง หรือแม้กระทั่งสินค้าแบรนด์ของศิลปินเอง […]

จาก ‘หน้าฮ้าน’ สู่ ‘เงินล้าน พามาเบิ่ง 14 หมอลำหญิงเสียงทองแห่งแดนอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

จาก “วอชิงตัน” สู่ “ทุ่งกุลาร้องไห้” พาเปิดเบิ่ง 15 โรงงาน “ทุนสหรัฐฯ” ปักธงอีสาน

สหรัฐฯเข้ามาลงทุนธุรกิจในภาคอีสานมูลค่ากว่า 3,420 ล้านบาท โดยกว่า 97% ของมูลค่าการลงทุนทั้งหมดจากสหรัฐฯ มุ่งไปที่ “ภาคการผลิต” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “การผลิตอุปกรณ์สื่อสารข้อมูล” ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มการย้ายฐานการผลิต หรือการขยายกำลังการผลิตของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและโทรคมนาคม (ICT) มายังประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคอีสานที่มีศักยภาพด้านแรงงานและต้นทุนที่แข่งขันได้ การลงทุนที่เหลืออีก 2% อยู่ในภาคบริการ (การให้คำปรึกษาด้านการบริหารจัดการ) และ 1% ในภาคการค้า (การขายส่งข้าวและผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการโรงสีข้าว) ซึ่งชี้ให้เห็นว่าการลงทุนจากสหรัฐฯ ครั้งนี้มีเป้าหมายหลักที่การสร้างมูลค่าเพิ่มในภาคอุตสาหกรรม มากกว่าการค้าและบริการทั่วไป   การหลั่งไหลของการลงทุนจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งปัจจุบันมีโรงงานยักษ์ใหญ่ถึง 15 แห่งเข้ามาปักธงในพื้นที่ ข้อมูลนี้ไม่ใช่เพียงตัวเลขการลงทุน แต่คือสัญญาณที่กำลังปรับเปลี่ยนทิศทางเศรษฐกิจไทย และการมองเห็นศักยภาพที่ซ่อนเร้นในพื้นที่ที่เคยถูกมองข้ามในอดีต   ทำไมอีสานถึงเป็นแม่เหล็กดึงดูดทุนสหรัฐฯ? การตัดสินใจเข้ามาลงทุนของ 15 โรงงานสหรัฐฯ ในภาคอีสาน ซึ่งกระจายตัวอยู่ในจังหวัดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น นครราชสีมา ขอนแก่น อุบลราชธานี และอุดรธานี ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เพราะมีปัจจัยเชิงโครงสร้างที่สนับสนุนการตัดสินใจนี้อย่างน่าสนใจ   การที่บริษัทสัญชาติอเมริกันหันมาลงทุนในภูมิภาคอย่างอีสาน สะท้อนแนวโน้มที่ชัดเจนของการกระจายฐานการผลิตออกจากการพึ่งพาจีนเพียงแหล่งเดียว เพื่อลดความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ ลดผลกระทบจากการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน และลดความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลก ภาคอีสานจึงกลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะมีต้นทุนแรงงานที่ยังคงแข่งขันได้ มีโครงสร้างพื้นฐานที่กำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญคือความมั่นคงทางการเมือง ดังนั้น โรงงานผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์อย่าง Kyocera หรือผู้ผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปชั้นนำอย่าง Hanes Brands Inc. จึงเข้ามาเพื่อสร้าง Supply Chain Resilience ให้กับเครือข่ายการผลิตของตัวเอง   หรือแม้กระทั่ง การเข้าถึงตลาดของกลุ่ม CLMV และ GMS ถึงแม้ข้อมูลจะไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่าการลงทุนทั้งหมดมีวัตถุประสงค์เพื่อการส่งออกเป็นหลัก แต่การที่โรงงานเหล่านี้ตั้งอยู่ในภาคอีสาน ซึ่งมีพรมแดนติดกับ สปป.ลาว และกัมพูชา ย่อมทำให้การเข้าถึงตลาด CLMV ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว เป็นไปได้โดยสะดวก และยังสามารถใช้ประเทศไทยเป็นประตูในการกระจายสินค้าไปยังประเทศเพื่อนบ้านได้ง่ายขึ้น การลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมที่หลากหลาย ตั้งแต่อาหารและเครื่องดื่ม (Mondelez) ยางรถยนต์ (Sumitomo Riko) ไปจนถึงบรรจุภัณฑ์ (Amcor Flexibles) อาจสะท้อนการมองเห็นศักยภาพของตลาดผู้บริโภคในภูมิภาคนี้   และอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญของภาคอีสาน คือ ศักยภาพด้านแรงงานและต้นทุนที่แข่งขันได้ ภาคอีสานมีประชากรจำนวนมากและมีต้นทุนแรงงานที่ยังคงสามารถแข่งขันได้เมื่อเทียบกับภาคอุตสาหกรรมดั้งเดิมอย่างภาคตะวันออก อย่างไรก็ตาม การลงทุนในอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยี จะนำมาซึ่งการยกระดับทักษะแรงงานในพื้นที่ และการเพิ่มรายได้ให้กับแรงงานท้องถิ่น ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในระยะยาวนั่นเอง   แม้ว่าโรงงานเหล่านี้อาจไม่ได้อยู่ในพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยตรง แต่การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมในภาคอีสานอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นรถไฟทางคู่ การขยายสนามบินในจังหวัดใหญ่ และการพัฒนาจุดผ่านแดนสำคัญ ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้ภาคนี้มีความน่าสนใจในเชิงโลจิสติกส์มากขึ้น นอกจากนี้ มาตรการส่งเสริมการลงทุนของภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิทธิประโยชน์จากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ก็มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาตัดสินใจปักหลักในพื้นที่   ในมิติทางเศรษฐกิจและธุรกิจในภาคอีสานของการเข้ามาของทุนสหรัฐฯ การเข้ามาของ 15 โรงงานสหรัฐฯ นี้ไม่ได้เป็นเพียงการเพิ่มจำนวนสถานประกอบการ แต่เป็นก่อให้เกิดการพัฒนาในหลายมิติ ที่จะส่งผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจและสังคมในวงกว้าง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างงานและการยกระดับคุณภาพชีวิต

จาก “วอชิงตัน” สู่ “ทุ่งกุลาร้องไห้” พาเปิดเบิ่ง 15 โรงงาน “ทุนสหรัฐฯ” ปักธงอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

‘สงคราม ส่งด่วน’ ฉบับชีวิตจริง พามาฮู้จัก ‘คมสันต์ แซ่ลี’ จากเด็กดอยสู่บัลลังก์เจ้าพ่อโลจิสติกส์หมื่นล้าน

จากกระแสซีรีส์ “สงครามส่งด่วน Mad Unicorn (2025)” กำลังเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์บน Netflix เรื่องราวการต่อสู้ของสตาร์ทอัพขนส่งด่วนที่เริ่มต้นจากศูนย์ สู่การเป็นผู้นำตลาด ได้จุดประกายความอยากรู้ถึงบุคคลเบื้องหลังแรงบันดาลใจนั้น นั่นคือ “คมสันต์ แซ่ลี” หรือ “คมสันต์ ลี” ผู้ก่อตั้ง Flash Express ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่ชีวิตจริงไม่แพ้ในซีรีส์ และกำลังถูกถ่ายทอดสู่สายตาผู้ชมโดยนักแสดงมากฝีมืออย่าง ไอซ์ซึ ณัฐรัตน์ ในบทบาท “สันติ แซ่ลี”   จากดอยวาวี สู่สมรภูมิธุรกิจ จุดเริ่มต้นของ ‘คมสันต์ แซ่ลี’ คมสันต์ ลี เกิดเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2534 บนดอยวาวี จังหวัดเชียงราย ลูกชายคนโตของครอบครัวนักธุรกิจและครูสอนภาษาจีน พื้นเพที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ได้หล่อหลอมให้เขามีความมุ่งมั่นและกล้าที่จะแตกต่าง เส้นทางชีวิตของเขาเริ่มต้นจากธุรกิจเล็กๆ ในรั้วมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง สาขาบริหารธุรกิจระหว่างประเทศ ด้วยการนำเข้าสินค้าจากจีนมาขายให้นักศึกษา พร้อมกับการทำงานพาร์ตไทม์เป็นทั้งพนักงานบริษัทจีนและครูสอนภาษาจีน ประสบการณ์เหล่านี้คือบทเรียนแรกที่ปูทางสู่โลกธุรกิจอันกว้างใหญ่   หลังเรียนจบ คมสันต์ไม่รอช้าที่จะกระโดดเข้าสู่โอกาสใหม่ เขาเริ่มต้นในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์กับชาวจีนที่เชียงใหม่ โดยทำหน้าที่เป็นโบรกเกอร์หรือนายหน้าซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิต เพียงแค่ปีเศษ เขาสามารถสร้างกำไรได้สูงถึงกว่า 100 ล้านบาท นี่คือ “ต้นทุน” ก้อนโตที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่เม็ดเงิน แต่เป็น “ความกล้า” และ “วิสัยทัศน์” ที่ผลักดันให้เขาก้าวเข้าสู่แวดวงธุรกิจขนส่งอย่างเต็มตัว   4 T Express บทเรียนแรกในตลาดจีน สู่การมองเห็นโอกาสในไทย ด้วยทุนตั้งต้นจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ คมสันต์ได้ก่อตั้ง 4 T Express (โฟร์ ที เอ็กซ์เพรส) ในปี 2555 โดยเป็นบริษัทโลจิสติกส์ที่เชี่ยวชาญการจัดส่งสินค้าจากทั่วโลกกระจายไปยังเมืองต่างๆ ในประเทศจีน ตลอดระยะเวลาประมาณ 3 ปีที่ดำเนินธุรกิจนี้ เขาไม่ได้เพียงแต่สั่งสมประสบการณ์ แต่ยังสร้างผลกำไรที่น่าทึ่งถึง 20-30 ล้านบาทต่อเดือนในรูปของเงินปันผลให้แก่หุ้นส่วน   ประสบการณ์ในตลาดจีนนี่เองที่ทำให้คมสันต์มองเห็น “ช่องว่าง” และ “โอกาส” มหาศาลในประเทศไทย ในราวปี 2560 เขาเริ่มศึกษาตลาดโลจิสติกส์ไทยอย่างจริงจัง และพบว่าแม้ประเทศไทยจะมีพื้นที่เล็กกว่าจีนหลายเท่า แต่ค่าขนส่งกลับแพงกว่าอย่างน่าตกใจ ยิ่งไปกว่านั้น ระบบบริการในไทยยังบังคับให้ผู้บริโภคต้องไปเข้าแถวรอส่งสินค้าที่จุดบริการ ในขณะที่จีนมีบริการรับสินค้าถึงหน้าบ้าน สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าตลาดไทยยังขาดผู้เล่นที่นำเสนอบริการที่เข้าถึงง่าย สะดวก และราคาเข้าถึงได้ นี่คือวิกฤติที่คมสันต์มองเห็นเป็นโอกาสทอง   “แฟลช เอ็กซ์เพรส” การปฏิวัติวงการขนส่งไทย Flash Express ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2561 ภายใต้โมเดลธุรกิจที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง โดยไม่รับทั้ง “Out Source” และไม่ใช้ระบบ “แฟรนไชส์” เพื่อควบคุมคุณภาพการบริการอย่างเบ็ดเสร็จ และที่สำคัญคือการลงทุนมหาศาลกว่า 5,000 ล้านบาท

‘สงคราม ส่งด่วน’ ฉบับชีวิตจริง พามาฮู้จัก ‘คมสันต์ แซ่ลี’ จากเด็กดอยสู่บัลลังก์เจ้าพ่อโลจิสติกส์หมื่นล้าน อ่านเพิ่มเติม »

พาเปิดเบิ่งความลับ Darkweb ‘ข้อมูลคนไทย’ กำลังถูกซื้อขาย! เมื่อไทยติด 1 ใน 10 ประเทศที่ข้อมูลรั่วไหลสูงสุด

วิกฤตไซเบอร์โลก เมื่อ ‘ไทย’ ตกเป็นเป้าหมายสำคัญในสมรภูมิใต้เงา Darkweb ภัยคุกคามที่ซับซ้อนเกินกว่าที่คิด รายงาน High-Tech Crime Trends จาก Group-IB เผยข้อมูลว่า อาชญากรรมไซเบอร์ไม่ได้เป็นเพียงเหตุการณ์โดดเดี่ยวอีกต่อไป แต่คือเครือข่ายที่ซับซ้อนและมีการโจมตีที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งรวมถึงประเทศไทย กำลังเผชิญกับภัยคุกคามที่หลากหลายและรุนแรงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ   หนึ่งในรูปแบบการโจมตีที่น่ากังวลที่สุดคือ Advanced Persistent Threat (APT) ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 58% ระหว่างปี 2023-2024 โดยมีกว่า 20% ของการโจมตีเหล่านี้พุ่งเป้ามายังภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกโดยตรง ในปี 2024 อินโดนีเซียขึ้นแท่นอันดับสองของภูมิภาคที่เผชิญการโจมตี APT มากที่สุด คิดเป็น 7% ของเหตุการณ์ทั้งหมด ตามมาด้วยมาเลเซีย 5% ความน่ากลัวของกลุ่ม APT ไม่ได้หยุดอยู่แค่การบุกรุกระบบ แต่ยังรวมถึงการก่ออาชญากรรมทางการเงินระดับโลก อย่างเช่นกรณีที่กลุ่ม Lazarus ซึ่งเชื่อมโยงกับเกาหลีเหนือ ได้ขโมยสกุลเงินดิจิทัลกว่า 308 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากแพลตฟอร์ม DMM ของญี่ปุ่นในเดือนพฤษภาคม 2024 ขณะเดียวกัน กลุ่ม APT น้องใหม่อย่าง DarkPink ก็กำลังสร้างความหวาดหวั่นจากการมุ่งเป้าโจมตีเครือข่ายรัฐบาลและกองทัพ เพื่อขโมยเอกสารลับ ติดตั้งมัลแวร์ผ่าน USB และเจาะเข้าถึงแอปพลิเคชันส่งข้อความบนเครื่องที่ถูกบุกรุก พฤติกรรมเหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงการลงทุนที่สูงและเป้าหมายที่ชัดเจนของกลุ่มอาชญากรไซเบอร์ ซึ่งอาจมีเบื้องหลังเป็นหน่วยงานรัฐสนับสนุนการจารกรรมข้อมูล   เปิดโลกมืดของ Initial Access Broker (IAB) และแรนซัมแวร์ จุดเชื่อมโยงที่น่ากลัว ความสำเร็จของอาชญากรไซเบอร์เหล่านี้ส่วนหนึ่งมาจากการใช้บริการของ Initial Access Broker (IAB) หรือโบรกเกอร์ผู้เข้าถึงระบบ ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการเจาะระบบและขายสิทธิ์การเข้าถึงเครือข่ายองค์กรเป้าหมายบนตลาดมืดของ Darkweb ในปี 2024 มีรายการขายสิทธิ์เข้าถึงระบบองค์กรโดย IAB เพิ่มขึ้นถึง 15% ทั่วโลก โดยมีจำนวนสูงถึง 3,055 รายการ และที่น่าตกใจคือ 427 รายการอยู่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยมีอินโดนีเซีย ไทย และสิงคโปร์ เป็นสามประเทศที่ได้รับผลกระทบจากกรณีเหล่านี้คิดเป็น 6% นั่นหมายความว่า ข้อมูลขององค์กรไทยจำนวนมากกำลังถูกเปิดประมูลบนตลาดมืด    นอกจาก APT และ IAB แล้ว แรนซัมแวร์ ยังคงเป็นหนึ่งในรูปแบบอาชญากรรมไซเบอร์ที่ทำกำไรได้มากที่สุด การโจมตีด้วยแรนซัมแวร์เพิ่มขึ้น 10% ทั่วโลกในปี 2024 โดยมีปัจจัยหนุนจากโมเดล Ransomware-as-a-Service (RaaS) ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มีการโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ถึง 467 ครั้ง โดยกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ภาคการผลิต และบริการทางการเงิน คือเป้าหมายหลักของการโจมตี อีกทั้งยังพบว่ามีการสมัครพันธมิตรแรนซัมแวร์ในตลาดมืดเพิ่มขึ้น 44% สะท้อนถึงการเติบโตของอาชญากรรมไซเบอร์ในรูปแบบอุตสาหกรรมอย่างชัดเจนมากขึ้น  

พาเปิดเบิ่งความลับ Darkweb ‘ข้อมูลคนไทย’ กำลังถูกซื้อขาย! เมื่อไทยติด 1 ใน 10 ประเทศที่ข้อมูลรั่วไหลสูงสุด อ่านเพิ่มเติม »

เมื่อเงินดอลลาร์หลั่งไหลสู่อีสาน! พามาเบิ่ง สหรัฐฯ ทุ่มทุนกว่า 3.4 พันล้านบาท กระจายอยู่จังหวัดไหนบ้าง

เงินดอลลาร์หลั่งไหลอีสาน การลงทุนสหรัฐฯ 3.4 พันล้านบาท ใครรุ่ง? ใครร่วง? จากข้อมูลจะเห็นได้ว่ากว่า 97% ของมูลค่าการลงทุนทั้งหมดจากสหรัฐฯ มุ่งไปที่ “ภาคการผลิต” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “การผลิตอุปกรณ์สื่อสารข้อมูล” ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มการย้ายฐานการผลิต หรือการขยายกำลังการผลิตของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและโทรคมนาคม (ICT) มายังประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคอีสานที่มีศักยภาพด้านแรงงานและต้นทุนที่แข่งขันได้ การลงทุนที่เหลืออีก 2% อยู่ในภาคบริการ (การให้คำปรึกษาด้านการบริหารจัดการ) และ 1% ในภาคการค้า (การขายส่งข้าวและผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการโรงสีข้าว) ซึ่งชี้ให้เห็นว่าการลงทุนจากสหรัฐฯ ครั้งนี้มีเป้าหมายหลักที่การสร้างมูลค่าเพิ่มในภาคอุตสาหกรรม มากกว่าการค้าและบริการทั่วไป   แชมป์ผู้รับการลงทุน นครราชสีมากับบทบาทประตูสู่อีสาน การที่ จังหวัดนครราชสีมา กวาดเม็ดเงินลงทุนไปสูงถึง 2,890 ล้านบาท ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจหากพิจารณาจากศักยภาพและบทบาทเชิงยุทธศาสตร์ของจังหวัด นครราชสีมาเป็นเสมือน “ประตูสู่ภาคอีสาน” ที่มีโครงสร้างพื้นฐานครบครัน ทั้งด้านคมนาคมขนส่ง (ถนนสายหลัก, รถไฟความเร็วสูงและรถไฟทางคู่ที่กำลังพัฒนา) การเป็นศูนย์กลางด้านอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่มีการลงทุนจากต่างชาติอยู่แล้ว โดยเฉพาะกลุ่มยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมแปรรูปเกษตร ความพร้อมของแรงงานที่มีทักษะในระดับหนึ่ง รวมถึงนิคมอุตสาหกรรมและเขตส่งเสริมการลงทุนที่รองรับได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจัยเหล่านี้ทำให้โคราชมีความได้เปรียบในการดึงดูดการลงทุนในภาคการผลิตอุปกรณ์สื่อสารข้อมูล ซึ่งต้องการโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งและระบบนิเวศอุตสาหกรรมที่เอื้ออำนวย   ดาวเด่นรองลงมา สุรินทร์-ขอนแก่นกับบทบาทที่แตกต่าง จังหวัดสุรินทร์ มีมูลค่าการลงทุนกว่า 278 ล้านบาท ซึ่งอาจสร้างความประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเทียบกับจังหวัดใหญ่อื่นๆ อย่างขอนแก่นหรืออุดรธานี การลงทุนในสุรินทร์อาจชี้ให้เห็นถึงการกระจายตัวของฐานการผลิต โดยมีบริษัท เอชบีไอ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด ที่มีมูลค่าการลงทุนกว่า 277 ล้านบาท ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตเสื้อผ้าชั้นนอก   ขณะที่ จังหวัดขอนแก่น ซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจอันดับต้นๆ ของภาคอีสาน กลับได้รับเม็ดเงินลงทุน 176 ล้านบาท น้อยกว่าที่หลายคนคาดการณ์ไว้เมื่อเทียบกับศักยภาพในภาพรวมของจังหวัด อย่างไรก็ตาม ขอนแก่นอาจมีความโดดเด่นในภาคบริการ การศึกษา และการแพทย์มากกว่าภาคการผลิตหนักๆ การลงทุนในขอนแก่นจึงอาจมุ่งเน้นไปที่ภาคบริการ เช่น การให้คำปรึกษาด้านการบริหารจัดการ หรือธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมซึ่งเป็นรากฐานของ Smart City ที่ขอนแก่นกำลังผลักดันอยู่ การที่เม็ดเงินลงทุนด้านการผลิตอุปกรณ์สื่อสารข้อมูลไปลงที่โคราชมากกว่า อาจบ่งชี้ว่าโครงสร้างพื้นฐานด้านอุตสาหกรรมหนักของขอนแก่นยังไม่เทียบเท่า หรือบริษัทผู้ลงทุนมีซัพพลายเชนเดิมอยู่ในพื้นที่โคราชอยู่แล้วนั่นเอง     การลงทุนจากสหรัฐฯ ในภาคอีสานครั้งนี้จะช่วยยกระดับภาคการผลิต ไม่ว่าจะเป็นการมุ่งเน้นที่การผลิตอุปกรณ์สื่อสารข้อมูล จะช่วยยกระดับขีดความสามารถทางอุตสาหกรรมของอีสาน จากฐานเกษตรกรรมสู่ภาคอุตสาหกรรมที่มีเทคโนโลยีสูงขึ้น ซึ่งจะนำมาซึ่งการถ่ายทอดองค์ความรู้ การสร้างงานที่มีมูลค่าเพิ่ม และการพัฒนาทักษะแรงงานในระยะยาว ถึงแม้ว่าจะยังกระจุกตัวอยู่ในนครราชสีมาเป็นหลัก แต่การที่จังหวัดอื่นๆ ได้รับส่วนแบ่งบ้างก็ถือเป็นสัญญาณที่ดีของการกระจายโอกาสทางเศรษฐกิจ ซึ่งอาจนำไปสู่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและแรงงานในจังหวัดรองๆ มากขึ้น การลงทุนจากประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างสหรัฐฯ จะส่งผลดีต่อภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นในการลงทุนในภูมิภาคอีสาน ซึ่งอาจเป็นแม่เหล็กดึงดูดการลงทุนจากประเทศอื่นๆ หรือจากภาคเอกชนไทยให้เข้ามาเพิ่มเติมในอนาคตนั่นเอง     อ้างอิงจาก: – กรมพัฒนาธุรกิจการค้า   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN

เมื่อเงินดอลลาร์หลั่งไหลสู่อีสาน! พามาเบิ่ง สหรัฐฯ ทุ่มทุนกว่า 3.4 พันล้านบาท กระจายอยู่จังหวัดไหนบ้าง อ่านเพิ่มเติม »

สมรภูมิเดือด! เขตแดนทับซ้อน เปิดตำนาน “ช่องบก” หรือ สามเหลี่ยมมรกต จุดชนวนไทย-กัมพูชา พร้อมข้อตกลงล่าสุด

เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา เสียงปะทะจากชายแดนไทย-กัมพูชาบริเวณ “ช่องบก” จังหวัดอุบลราชธานี ได้ปลุกความกังวลขึ้นอีกครั้ง เสียงที่เกิดขึ้นเมื่อเวลา 05.30 น. จากรายงานของหน่วยเฉพาะกิจที่ 1 กองกำลังสุรนารี ที่ระบุถึงการวางกำลังของทหารกัมพูชาในพื้นที่อ้างสิทธิ์ และการใช้อาวุธก่อน ทำให้ฝ่ายไทยต้องตอบโต้ นับเป็นเหตุการณ์ที่ตอกย้ำว่า “ช่องบก” ไม่ได้เป็นเพียงชื่อสถานที่ แต่เป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และยุทธศาสตร์อันซับซ้อนที่ยังคงส่งผลสะเทือนมาถึงปัจจุบัน   ช่องบก ในอำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ได้รับการขนานนามว่า “สามเหลี่ยมมรกต” (Emerald Triangle) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติ และยังเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่เชื่อมต่อชายแดนสามประเทศ ได้แก่ ไทย ลาว และกัมพูชา การบรรจบกันของสามดินแดนนี้ ทำให้ช่องบกกลายเป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างยิ่งยวด   ย้อนกลับไปในอดีต ช่องบกเคยเป็น “สมรภูมิช่องบก” อันดุเดือดในช่วงปี พ.ศ. 2528-2530 ซึ่งเป็นการปะทะโดยตรงระหว่างกองทัพไทยกับกองทัพเวียดนามที่เข้ายึดครองกัมพูชาในขณะนั้น การต่อสู้เพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติไทยครั้งนั้น ต้องแลกมาด้วยความสูญเสียชีวิตของทหารหาญไทยกว่า 109 ชีวิต ซึ่งเป็นเครื่องเตือนใจถึงราคาของเอกราชและบูรณภาพแห่งดินแดน   พื้นที่ “สามเหลี่ยมมรกต” ครอบคลุมประมาณ 12 ตารางกิโลเมตร โดยจุดหลักของช่องบกอยู่ในอำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี และเชื่อมโยงไปยังจังหวัดศรีสะเกษของไทย แขวงจำปาศักดิ์และแขวงสาละวันของลาว รวมถึงจังหวัดพระวิหาร จังหวัดอุดรมีชัย และจังหวัดสตึงเตร็งของกัมพูชา   แม้เวลาจะผ่านมาหลายสิบปี แต่ช่องบกยังคงเป็น “พื้นที่ชายแดนที่มีข้อพิพาทและพื้นที่ทับซ้อน” ในเรื่องการปักปันเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งเป็นชนวนสำคัญที่อาจนำไปสู่ความตึงเครียดหรือการปะทะกันได้เป็นครั้งคราว ปัจจัยหลักที่ยังคงคุกคามสันติภาพในพื้นที่นี้ประกอบด้วย พื้นที่พิพาทที่ยังไม่มีการปักปันเขตแดนที่ชัดเจน ทำให้ทั้งสองฝ่ายต่างอ้างสิทธิในพื้นที่และเป็นที่มาของความขัดแย้ง การเคลื่อนไหวทางทหาร เนื่องจากทั้งสองประเทศยังคงมีการตรึงกำลังทหารเพื่อเฝ้าระวังและป้องกันอธิปไตยของตนเอง ความเข้าใจผิดหรือการสื่อสารที่คลาดเคลื่อน ระหว่างเจ้าหน้าที่ภาคสนาม ซึ่งอาจนำไปสู่เหตุการณ์ปะทะโดยไม่ตั้งใจได้   อย่างไรก็ตาม แม้จะมีเหตุการณ์ปะทะเกิดขึ้น แต่พื้นที่ส่วนใหญ่ของอุทยานแห่งชาติภูจองนายอยและพื้นที่ใกล้เคียงที่ไม่ได้อยู่ในแนวชายแดนพิพาทโดยตรง “ถือว่าปลอดภัย” และยังคงสามารถท่องเที่ยวได้ตามปกติ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ นักท่องเที่ยวและประชาชนทั่วไปต้อง “ห้ามเข้า” พื้นที่ที่ประกาศว่าเป็นเขตหวงห้ามหรือเขตอันตรายโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจมีการวางทุ่นระเบิดเก่าที่หลงเหลือจากอดีต หรือเป็นพื้นที่ปฏิบัติการของทหารที่ยังคงมีการเคลื่อนไหว   ในการตอบสนองต่อสถานการณ์ล่าสุด ผู้บัญชาการทหารบกไทยได้เข้าหารือกับ พล.อ. เมา โซะพัน รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการทหารบกกัมพูชา ณ จุดประสานงานชายแดนไทย-กัมพูชา จุดผ่านแดนถาวรช่องจอม การหารือครั้งนี้มุ่งเน้นการเจรจาด้วยสันติวิธี เนื่องจากทหารทั้งสองฝ่ายยังคงวางกำลังในลักษณะเผชิญหน้ากัน เบื้องต้นได้ข้อตกลง 3 ข้อ เพื่อแก้ไขสถานการณ์ความตึงเครียด ได้แก่ การเร่งรัดการแก้ปัญหาเขตแดนในรูปแบบคณะกรรมการปักปันเขตแดน (JBC) ซึ่งจะดำเนินการภายใน 2 สัปดาห์ การให้กำลังพลถอยออกจากจุดปะทะ 200 เมตร เพื่อลดโอกาสการเผชิญหน้า การสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้บังคับหน่วยเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการปะทะซ้ำในพื้นที่อีก     ผลกระทบเชิงลบต่อธุรกิจและเศรษฐกิจจากเหตุการณ์การปะทะกันในครั้งนี้ ซึ่งถือว่าเป็นคลื่นใต้น้ำที่น่ากังวล แม้ข้อตกลงเบื้องต้นจะดูเป็นสัญญาณที่ดี แต่เหตุการณ์ปะทะที่ช่องบกนี้ได้ส่งผลกระทบเชิงลบต่อธุรกิจและเศรษฐกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะในระดับภูมิภาคอีสาน และจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นประตูด่านหน้า   ไม่ว่าจะเป็น การค้าชายแดนที่ต้องหยุดชะงักและต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ช่องบกและพื้นที่เชื่อมโยงเป็นเส้นเลือดหลักของการค้าขายกับลาวและกัมพูชา

สมรภูมิเดือด! เขตแดนทับซ้อน เปิดตำนาน “ช่องบก” หรือ สามเหลี่ยมมรกต จุดชนวนไทย-กัมพูชา พร้อมข้อตกลงล่าสุด อ่านเพิ่มเติม »

อีสานบ่ได้มีแค่ข้าวเหนียว พาเปิดเบิ่ง อาณาจักรทุเรียน ทองคำเปลือกหนามแห่งแดนอีสาน

จากกระแสราคาทุเรียนต่ำกว่า 100 บาท/กก. ดิ่ง 90-95 บาท/กก. เหตุจีนเจอ “ทุเรียนอ่อน” เพียบ ผู้นำเข้าจีนชะลอซื้อ บางแผงหยุดรับซื้อเคลียร์ 1-2 วัน และล่าสุดจับ “ทุเรียนเวียดนาม” ขนส่งทางเรือ เตรียมส่งห้องเย็นแช่แข็ง หวัง “สวมสิทธิ” เป็นทุเรียนไทย หวั่นเจอ “สารแคดเมียม” ขณะที่จีนเพิ่งผ่อนปรนตรวจเข้มสารย้อมสี BY2 ของทุเรียนไทยเหลือ 30%     อีสานอินไซต์เลยจะพามาเบิ่งทุเรียนแดนอีสาน   🌳ในปี 2566 ประเทศไทยมีพื้นที่เพาะปลูกทุเรียน อยู่ที่ 1,023,6741 ไร่ และมีจำนวนครัวเรือนเกษตรกรผู้ปลูกทุเรียนอยู่ 162,293 ครัวเรือน แล้วรู้หรือไหมว่าภาคอีสานมีพื้นที่เพาะปลูกและผลผลิตทุเรียนมากแค่ไหน?   โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีพื้นที่เพาะปลูกทุเรียนกว่า 42,145 ไร่ หรือคิดเป็นสัดส่วน 4.1% ของพื้นที่เพาะปลูกทุเรียนทั้งหมดในประเทศ และมีจำนวนครัวเรือนเกษตรกรผู้ปลูกทุเรียนอยู่ 7,416 ครัวเรือน หรือคิดเป็นสัดส่วน 4.6% ของจำนวนครัวเรือนเกษตรกรผู้ปลูกทุเรียนทั้งหมดในประเทศ   ตั้งแต่ปี 2554-2566 หรือในช่วง 12 ปี ที่ผ่านมา ไทยมีพื้นที่ปลูกทุเรียนเพิ่มขึ้น ทำให้ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน เกษตรกรสามารถผลิตทุเรียนเพิ่มจาก 5 แสนตัน เป็น 1.4 ล้านตัน หรือได้ผลผลิตเพิ่มขึ้น 180% โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีการขยายผลผลิตเพิ่มขึ้นมากที่สุดถึง 1,500% เนื่องจากทุเรียนมีการส่งออกมากขึ้นและมีราคาเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เกษตรกรแต่ละจังหวัดหันมาปลูกทุเรียนกันมากขึ้น   ในปี 2566 ไทยมีมูลค่าส่งออกทุเรียน 1.4 แสนล้านบาท ในตลาดจีนทุเรียนถือเป็นผลไม้ที่มีราคาสูงและได้รับความนิยมจากกลุ่มผู้บริโภคซึ่งมีกำลังซื้อสูง ในปีนี้หลายประเทศต้องเผชิญกับสภาวะอากาศแห้งแล้ง รวมทั้งประเทศไทย จึงทำให้ปริมาณการผลิตลดลงสวนทางกับความต้องการตลาดผู้บริโภค จึงทำให้เกิดปัญหาการลักลอบนำเข้าทุเรียนเพื่อสวมสิทธิและสอดใส้เป็นทุเรียนไทยเพื่อส่งออกไปจำหน่ายยังตลาดจีน   หากมาดูทุเรียนเป็นรายจังหวัดในอีสานก็จะพบว่าจังหวัดที่มีพื้นที่เพาะปลูกมากที่สุดในภาคอีสาน ก็คือ จังหวัดศรีสะเกษและจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเพียง 2 จังหวัดมีพื้นที่รวมกันมากกว่า 22,085 ไร่ หรือคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 52.4% เลยทีเดียว 💛โดยทั้ง 2 จังหวัดมี “ทุเรียน GI” หรือทุเรียนขึ้นทะเบียนว่าเป็นสินค้าขึ้นชื่อในแต่ละพื้นที่ ที่เรียกได้ว่ามีรสชาติเด่น เป็นเอกลักษณ์ และหาได้เฉพาะถิ่นเท่านั้น 💛ทุเรียนภูเขาไฟศรีสะเกษ ขึ้นทะเบียน GI เมื่อวันที่ 27 มิ.ย 2561 เป็นทุเรียนพันธุ์ก้านยาว พันธุ์หมอนทอง พันธุ์ชะนี ปลูกในพื้นที่ อ.ขุนหาญ อ.กันทรลักษณ์ และ อ.ศรีรัตนะ จ.ศรีสะเกษ ดินบริเวณนี้เป็นดินที่เกิดจากภูเขาไฟโบราณผุพังมาจากหินบะซอลต์ มีธาตุอาหารชนิดต่างๆ ที่จำเป็นต่อพืชในปริมาณสูง ส่งผลให้ทุเรียนภูเขาไฟศรีสะเกษมีคุณสมบัติพิเศษคือ เนื้อทุเรียนละเอียด แห้ง เนียนนุ่ม รสชาติหวานมัน

อีสานบ่ได้มีแค่ข้าวเหนียว พาเปิดเบิ่ง อาณาจักรทุเรียน ทองคำเปลือกหนามแห่งแดนอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

พาย้อนเบิ่ง ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา 20 อำเภอที่มีเงินฝากมากสุดในอีสานเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหน❓💳💰

(1) 🏦💳ปี 2568 ถือเป็นปีที่เศรษฐกิจไทยเริ่มกลับมาฟื้นตัว และหนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญที่สะท้อนถึงความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจก็คือ “เงินฝาก” ในระบบธนาคาร อ้างอิงข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งเผยให้เห็นข้อมูลน่าสนใจของ 20 อันดับอำเภอทั่วภาคอีสาน ที่มีปริมาณเงินฝากสูงสุดในปี 2568 สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพทางเศรษฐกิจและกำลังซื้อของแต่ละพื้นที่   5 อันดับอำเภอที่มีเงินฝากมากที่สุดในภาคอีสาน – อำเภอเมืองนครราชสีมา 115,956 ล้านบาท – อำเภอเมืองขอนแก่น 94,464 ล้านบาท – อำเภอเมืองอุดรธานี 93,782 ล้านบาท – อำเภอเมืองอุบลราชธานี 53,708 ล้านบาท – อำเภอเมืองร้อยเอ็ด 28,834 ล้านบาท   💸จะเห็นได้ว่า “อำเภอเมืองนครราชสีมา” ครองอันดับ 1 ด้วยยอดเงินฝากสูงถึง 115,956 ล้านบาท ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของจังหวัดนครรสีมาในฐานะศูนย์กลางเศรษฐกิจและคมนาคมที่เป็นประตูสู่ภาคอีสาน เป็นจุดเชื่อมโยงที่สำคัญระหว่างภูมิภาค มีความหลากหลายทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุมทั้งภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ อย่างยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ ภาคบริการ ภาคการค้าปลีกสมัยใหม่ ไปจนถึงการเป็นเมืองการศึกษาที่ดึงดูดทั้งแรงงานและผู้ประกอบการจำนวนมาก นอกจากนี้ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐ รวมถึงการลงทุนจากภาคเอกชนในโครงการอสังหาริมทรัพย์และศูนย์การค้าขนาดใหญ่ ล้วนเป็นแม่เหล็กดึงดูดเม็ดเงินให้ไหลเวียนและสะสมอยู่ในระบบเศรษฐกิจของเมืองนี้อย่างต่อเนื่อง   ซึ่งส่วนใหญ่อำเภอที่มีเงินฝากมากสุดส่วนใหญ่จะกระจุกตัวในอำเภอเมืองแต่ละจังหวัด จะมีอำเภอปากช่องที่เป็นอำเภอที่มีแหล่งท่องเที่ยวที่มาก มีธุรกิจเกี่ยวกับการค้าและบริการที่มากซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจ แต่ที่น่าสังเกตุคือ อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา, อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี และอำเภอชุมแพ, จังหวัดขอนแก่นที่ติดอันดับ ซึ่ง 3 อำเภอนี้ถือว่าอำเภอที่มีศักยภาพที่สูงและยังมีการลงทุนของธุรกิจการค้าและบริการทั้งขนาดกลางและขนาดย่อมภายในอำเภอที่มาก อีกทั้งยังเป็นอำเภอที่มีขนาดใหญ่อีกด้วย   (2) อีกหนึ่งอำเภอที่น่าจับตาคือ อำเภอเมืองร้อยเอ็ด ที่ขยับอันดับจาก 7 ขึ้นมาอยู่ที่ 5 ในปี 2568 โดยมียอดเงินฝากเพิ่มขึ้นถึง 10,738 ล้านบาท จาก 18,096 ล้านบาท เป็น 28,834 ล้านบาท การปรับตัวที่ดีขึ้นของร้อยเอ็ดนี้มาจากหลายปัจจัย ทั้งจากความแข็งแกร่งของภาคเกษตรกรรมที่เป็นฐานรากสำคัญของเศรษฐกิจจังหวัด ซึ่งผลผลิตทางการเกษตรที่หลากหลายและมีราคาดีขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว ได้เพิ่มกำลังซื้อและสภาพคล่องทางการเงินให้กับเกษตรกรและผู้เกี่ยวข้องในห่วงโซ่อุปทาน นอกจากนี้ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานภายในจังหวัด การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ รวมถึงการยกระดับบริการสาธารณะและสิ่งอำนวยความสะดวกในตัวเมือง ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดการหมุนเวียนของเม็ดเงินและสร้างความเชื่อมั่นในการจับจ่ายใช้สอยและการออมของประชาชนมากขึ้นนั่นเอง   (3) ในอีกด้านหนึ่ง อำเภอที่ต้องเฝ้าระวังคือกลุ่มที่มีอันดับลดลง คือ อำเภอเมืองหนองคาย ที่ร่วงจากอันดับ 5 มาอยู่ที่ 12 แม้เงินฝากจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่การเติบโตที่เชื่องช้าเมื่อเทียบกับอำเภออื่น สะท้อนว่าหนองคายอาจกำลังเผชิญกับความท้าทายในการดึงดูดการลงทุนใหม่ๆ หรือการค้าชายแดนอาจไม่ได้เติบโตโดดเด่นเท่าที่เคยเป็นมา เมื่อถูกเปรียบเทียบกับอำเภอชายแดนอื่นๆ   (4) และอีก 1 อำเภอที่หลุดจาก 20 อันดับ คือ อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น ในปี 2568 มีเงินฝากเพิ่มขึ้นเป็น 10,364 ล้านบาท แม้เงินฝากจะเพิ่มขึ้น

พาย้อนเบิ่ง ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา 20 อำเภอที่มีเงินฝากมากสุดในอีสานเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหน❓💳💰 อ่านเพิ่มเติม »

พาเปิดเบิ่ง วิกฤตสาธารณสุขไทย เปิดลิสต์ 10 โรงพยาบาล  “เงินบำรุงติดลบ” หนักสุดในประเทศ

วิกฤตการเงินโรงพยาบาลรัฐ ความท้าทายของระบบสุขภาพไทย กับความหวังที่ต้องเร่งฟื้นฟู จากข้อมูลล่าสุด ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2568 พบว่า โรงพยาบาลในสังกัด สป.สธ. จำนวน 901 แห่ง มีเงินบำรุงสุทธิหลังหักภาระผูกพันคงเหลืออยู่ที่ 51,375 ล้านบาท แม้ในภาพรวมจะยังมีเงินสะสมอยู่ แต่ในรายละเอียดกลับพบความแตกต่างชัดเจนระหว่างโรงพยาบาลที่มีฐานะการเงินมั่นคงกับกลุ่มที่กำลังประสบปัญหาอย่างหนัก โดยมีโรงพยาบาลถึง 183 แห่ง ที่มีเงินบำรุงติดลบรวมกันถึง -4,380.9 ล้านบาท ขณะที่อีก 718 แห่งมีเงินบำรุงเป็นบวกรวม 55,755.9 ล้านบาท   ความรุนแรงของสถานการณ์ยังสะท้อนผ่านการจัดระดับวิกฤตทางการเงิน ซึ่งในปีงบประมาณ 2568 โรงพยาบาลที่อยู่ในระดับวิกฤตขั้นสูงสุด หรือ “ระดับ 7 (สีแดง)” มีจำนวนเพิ่มขึ้นจาก 2 แห่งในปีก่อนหน้า เป็น 5 แห่งในปีนี้ ขณะที่ระดับ 6 (สีส้ม) ซึ่งเป็นระดับที่ยังพอแก้ไขได้กลับไม่มีเลยในปี 2568 จากที่เคยมีอยู่ 3 แห่งในปี 2567 ซึ่งอาจหมายถึงว่า สถานการณ์บางแห่งแย่ลงจนขยับขึ้นเป็นระดับสีแดง หรืออาจได้รับการเยียวยาจนหลุดพ้นระดับวิกฤตนี้แล้ว   สาเหตุของวิกฤตนี้ไม่ได้มาเพียงเพราะการบริหารจัดการภายในเท่านั้น แต่ยังสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายของรัฐ โดยรายได้หลักของโรงพยาบาลรัฐส่วนใหญ่ในประเทศไทย มาจากการเบิกค่ารักษาพยาบาลจากกองทุนสุขภาพต่าง ๆ โดยเฉพาะกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ซึ่งเป็นหัวใจของการเข้าถึงการรักษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย อย่างไรก็ตาม รายได้ที่โรงพยาบาลได้รับจากการเบิกจ่ายกลับยังต่ำกว่าต้นทุนจริงของการให้บริการอยู่มาก อีกทั้งยังมีรายได้บางส่วนที่ไม่สามารถเรียกเก็บได้เต็มจำนวน ทำให้เกิดการสะสมของปัญหาทางการเงินที่กัดกร่อนศักยภาพของโรงพยาบาลโดยรวม   สิ่งที่น่าจับตามองคือ แม้สถานการณ์ทางการเงินจะวิกฤต แต่ความต้องการของประชาชนกลับไม่ลดลง ตรงกันข้าม ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2564-2567) จำนวนผู้ป่วยในเพิ่มขึ้นถึง 13.84% หรือเฉลี่ยปีละ 4.42% ส่วนตัวชี้วัดด้านความซับซ้อนของโรคที่โรงพยาบาลรักษา (SumAdjRW) ก็เพิ่มขึ้นจาก 7.8 ล้าน เป็น 9.7 ล้าน หรือเพิ่มขึ้นกว่า 24.53% สะท้อนถึงภาระงานที่เพิ่มขึ้นควบคู่กับการรักษาที่ซับซ้อนขึ้น นอกจากนี้ การให้บริการผู้ป่วยนอกก็เพิ่มขึ้นกว่า 5.58% ภายในเพียงหนึ่งปี จาก 149 ล้านรายเป็นกว่า 158 ล้านรายในปี 2567   4 ปัจจัยทำไมโรงพยาบาลรัฐถึงติดลบ? โรงพยาบาลรัฐในประเทศไทยประสบปัญหาหนี้สะสมและขาดทุนจากหลายสาเหตุที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงกัน โดยหลักๆ มาจากความไม่สมดุลระหว่างรายรับและรายจ่าย รวมถึงโครงสร้างระบบสาธารณสุขในปัจจุบัน ปัจจัยสำคัญมีดังนี้: 1. รายรับไม่เพียงพอต่อต้นทุนที่แท้จริง: งบเหมาจ่ายรายหัว (บัตรทอง/หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า) ต่ำกว่าต้นทุน: ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ครอบคลุมคนส่วนใหญ่ของประเทศ มีการจัดสรรงบประมาณแบบเหมาจ่ายรายหัวให้กับโรงพยาบาล ซึ่งมักจะต่ำกว่าต้นทุนจริงในการให้บริการ โดยเฉพาะค่ารักษาพยาบาลที่ซับซ้อนหรือโรคเรื้อรัง ทำให้โรงพยาบาลขาดทุนจากการดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้ การหักเงินเดือนบุคลากรจากงบเหมาจ่าย: เดิมมีการหักเงินเดือนบุคลากรจากงบเหมาจ่ายรายหัวที่จัดสรรให้โรงพยาบาล ซึ่งทำให้โรงพยาบาลมีเงินเหลือสำหรับค่าใช้จ่ายอื่นๆ ลดลง โดยเฉพาะโรงพยาบาลที่มีบุคลากรจำนวนมาก การเคลมค่าบริการต่ำกว่าความเป็นจริง: บางครั้งการเคลมค่าบริการจากหน่วยงานที่รับผิดชอบการจ่ายเงิน (เช่น

พาเปิดเบิ่ง วิกฤตสาธารณสุขไทย เปิดลิสต์ 10 โรงพยาบาล  “เงินบำรุงติดลบ” หนักสุดในประเทศ อ่านเพิ่มเติม »

พาสำรวจเบิ่ง วิกฤติแม่น้ำกก-น้ำโขง จากเหมืองทุนจีนทะลัก พบสารปนเปื้อนสาเหตุปลาติดเชื้อ

ข้อมูล ณ วันที่ 19 พฤษภาคม 2568 ความคืบหน้ากรณีพบสารปนเปื้อนทั้งสารหนูและสารตะกั่วในแม่น้ำกก สาเหตุมากจากการทำเหมืองทองคำของกลุ่มทุนจีนในพื้นที่ต้นแม่น้ำ เขตรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตผู้คนในลุ่มแม่น้ำกก ทั้งน้ำอุปโภคบริโภค วิถีชีวิตประมง และเกษตรกรรมที่ต้องพึ่งพาสายน้ำแห่งนี้   ล่าสุดภาพที่สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิตเผยแพร่ ยิ่งตอกย้ำความน่ากังวล เมื่อพบปลาในแม่น้ำกกและแม่น้ำโขงเริ่มมีการติดเชื้อ โดยปลาที่จับได้มีตุ่มสีแดงตามครีบ ปาก และหนวด มีอาการคล้ายปลาป่วย ซึ่งสร้างความกังวลอย่างยิ่งให้กับชาวบ้านที่ดำรงชีพด้วยการหาปลา เพราะเกรงจะมีอันตรายต่อผู้บริโภค   มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ได้เปิดเผยภาพถ่ายดาวเทียม พบว่าบริเวณต้นแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย นอกเหนือจากเหมืองทองคำที่มีอยู่เดิมแล้ว ยังอาจมีการทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ธทางตอนใต้ของเมืองสาด รัฐฉาน พม่า ซึ่งห่างจากชายแดนไทยอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ เพียง 25 กิโลเมตรเท่านั้น ลักษณะของบ่อน้ำเพื่อการทำแร่ที่ตั้งเรียงกันเป็นวงกลมหลายชั้น ซึ่งคล้ายโครงการขุดแร่แรร์เอิร์ธในรัฐคะฉิ่นซึ่งดำเนินการโดยบริษัทจีน และยิ่งเพิ่มความกังวลใจอย่างหนักถึงสารพิษตกค้างจากเหมืองแร่แรร์เอิร์ธในเมืองสาดแห่งนี้ ที่อาจเป็นอีกหนึ่งต้นกำเนิดของสารพิษที่ไหลลงสู่แม่น้ำกก ทำให้สถานการณ์น้ำในแม่น้ำกกเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม และคุกคามสุขภาพของประชาชนกว่าล้านคนที่อาศัยอยู่บริเวณท้ายน้ำทั้งสองฝั่งชายแดน   ซึ่งการทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ธในรัฐคะฉิ่นนั้นเป็นวิธีการทำเหมืองและละลายแร่ ที่ทำลายสิ่งแวดล้อมอย่างมาก โดยต้องเทสารเคมีผ่านทอไปในเนินเขาเพื่อละลายแร่แรร์เอิร์ธ จากนั้นจะมีการสูบสารเคมีดังกล่าวเพื่อส่งผ่านท่อไปยังบ่อน้ำ และมีการเติมสารเคมีเพิ่มเติมเพื่อสกัดแร่แรร์เอิร์ธ   ดังนั้น เหมืองแร่แรร์เอิร์ธ ในเมืองยอน เขตเมืองสาด อาจเป็นอีกหนึ่งสาเหตุของต้นกำเนิดของสารพิษที่ถูกปล่อยลงในแม่น้ำกกไหลเข้าสู่ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ผ่านจังหวัดเชียงราย และบรรจบลงสู่แม่น้ำโขงอันยิ่งใหญ่ที่อำเภอเชียงแสน เหมืองแร่แรร์เอิร์ธจึงไม่ได้เป็นเพียงปัญหาภายในประเทศเพื่อนบ้าน หรือจำกัดอยู่แค่ภาคเหนือของไทยอีกต่อไป แต่อาจจะกลายเป็นภัยคุกคามข้ามพรมแดนที่น่ากังวลสำหรับภาคอีสาน    แม่น้ำโขงเปรียบเสมือนหัวใจของภาคอีสาน หล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนนับล้านที่พึ่งพาสายน้ำแห่งนี้ในการดำรงชีพ ไม่ว่าจะเป็นการเกษตร การประมง หรือการท่องเที่ยว เมื่อสารพิษอย่างสารหนูและตะกั่วจากแม่น้ำกกไหลลงสู่แม่น้ำโขง ย่อมหมายถึงการคุกคามโดยตรงต่อสุขภาพของประชาชน ชาวบ้านริมโขงที่ใช้น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค ปลูกพืชผัก หรือเลี้ยงสัตว์น้ำ ย่อมมีความเสี่ยงที่จะได้รับสารพิษสะสมเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพเรื้อรังและโรคภัยไข้เจ็บร้ายแรงในระยะยาว   ปลาและสัตว์น้ำในแม่น้ำโขงเป็นแหล่งอาหารสำคัญของชุมชนริมน้ำ เมื่อสัตว์น้ำติดเชื้อหรือปนเปื้อนสารพิษ ย่อมส่งผลกระทบ การประมงพื้นบ้านที่เคยเป็นวิถีชีวิตและแหล่งรายได้หลัก จะเผชิญกับภาวะวิกฤตอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน การปนเปื้อนสารพิษจะทำลายระบบนิเวศของแม่น้ำโขง ส่งผลกระทบต่อพืชและสัตว์น้ำนานาชนิด ทำให้ความหลากหลายทางชีวภาพลดลง ซึ่งเป็นการสูญเสียที่ไม่สามารถประเมินค่าได้นั่นเอง   ผลกระทบยังลามไปถึงภาคธุรกิจการท่องเที่ยวและบริการ แม่น้ำโขงเป็นแม่เหล็กสำคัญที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว ทั้งการล่องเรือ การเยี่ยมชมวิถีชีวิตริมน้ำ หรือการทำกิจกรรมทางน้ำ เมื่อแม่น้ำถูกปนเปื้อน ชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือจะลดลงอย่างรวดเร็ว ธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร และบริการท่องเที่ยวที่พึ่งพิงแม่น้ำโขงจะได้รับผลกระทบไม่มากก็น้อย และที่น่ากังวลไม่แพ้กันคือภาคการเกษตรและประมง สารพิษที่สะสมในน้ำก็อาจจะส่งผลกระทบต่อน้ำสำหรับการเกษตร ทำให้ผลผลิตลดลง หรือปนเปื้อนสารพิษจนไม่สามารถบริโภคได้ การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเชิงพาณิชย์ริมโขงก็จะต้องหยุดชะงัก      อ้างอิงจาก: – ประชาไท – Naewna – ไทยพีบีเอส (Thai PBS) – Lanner – PPTVHD36 – ข่าวสดออนไลน์   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์

พาสำรวจเบิ่ง วิกฤติแม่น้ำกก-น้ำโขง จากเหมืองทุนจีนทะลัก พบสารปนเปื้อนสาเหตุปลาติดเชื้อ อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top