Nanthawan Laithong

พาเปิดเบิ่ง ‘แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย’ ทั่วอีสาน ที่ไหนเยอะจนน่าตกใจ⁉️

แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายในภาคอีสานมีจำนวนทั้งหมด 15,250 คน ซึ่งมีสัดส่วนกว่า 23.1% ของจำนวนแรงงานต่างด้าวทั้งหมดในภาคอีสาน โดยจังหวัดที่มีสัดส่วนแรงงานผิดกฎหมายสูง อย่างเช่น บุรีรัมย์ นครราชสีมา หนองบัวลำภู ชัยภูมิ และมหาสารคาม ซึ่งไม่ใช่พื้นที่ชายแดนโดยตรง แต่เป็นจังหวัดที่มีการขยายตัวของกิจกรรมเศรษฐกิจนอกระบบ ทั้งภาคเกษตรเชิงพาณิชย์ และงานก่อสร้างขนาดกลาง-เล็กจำนวนมาก แรงงานต่างด้าวนี้ทำหน้าที่เป็น “แรงงานกันชน” ที่ช่วยพยุงต้นทุนการผลิตของเศรษฐกิจฐานล่าง ไม่ว่าจะเป็นงานก่อสร้าง เกษตรกรรม แปรรูปอาหาร หรือบริการนอกระบบ แรงงานกลุ่มนี้เข้ามาแทนที่แรงงานท้องถิ่นที่เคลื่อนย้ายออกไปทำงานในเมืองใหญ่หรือภาคอุตสาหกรรมสมัยใหม่ อย่างไรก็ตาม การที่แรงงานเหล่านี้จำนวนมากอยู่ในสถานะผิดกฎหมาย ไม่ได้เกิดจากความตั้งใจหลีกเลี่ยงกฎหมายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่อาจจะเป็นผลจากระบบขึ้นทะเบียนแรงงานที่ซับซ้อน มีต้นทุนสูง และไม่สอดคล้องกับลักษณะงานตามฤดูกาล ทำให้การอยู่ “นอกระบบ” กลายเป็นทางเลือกที่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจมากกว่า ข้อมูลดังกล่าวยังชี้ให้เห็นการเปลี่ยนบทบาทของภาคอีสานจาก “พื้นที่ส่งออกแรงงาน” ไปสู่ “พื้นที่รับแรงงาน” เมืองศูนย์กลางระดับรองอย่างขอนแก่น อุดรธานี และนครราชสีมา กลายเป็นฐานรองรับการลงทุน โครงสร้างพื้นฐาน และการขยายตัวของเมือง แต่การเติบโตดังกล่าวกลับไม่ได้นำไปสู่การยกระดับคุณภาพแรงงานหรือระบบสวัสดิการ หากแต่พึ่งพาแรงงานต่างด้าวราคาถูกเป็นฐานรองรับความเติบโต นี่คือรูปแบบการพัฒนาที่สร้างการขยายตัวทางเศรษฐกิจ แต่กระจายความเสี่ยงไปสู่แรงงานที่เปราะบางที่สุด การจับกุมและผลักดันแรงงานออกนอกประเทศอาจทำให้ตัวเลขลดลงชั่วคราว แต่ในระยะยาวกลับสร้างแรงจูงใจให้แรงงานหลบซ่อนมากขึ้น ขยายเครือข่ายนายหน้า และเพิ่มความเสี่ยงต่อการค้ามนุษย์ ในทางกลับกัน ข้อมูลชุดนี้กำลังเรียกร้องคือการปรับนโยบายแรงงานให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจจริง เปิดช่องทางให้แรงงานต่างด้าวเข้าสู่ระบบได้ง่าย ต้นทุนต่ำ และยืดหยุ่นต่อแรงงานตามฤดูกาล ทำไมแรงงานต่างชาติจึงมีมากในไทยและอีสาน?  ซึ่งปัจจัยหลักคือค่าแรง, ระยะทาง, และโครงสร้างอุตสาหกรรม ไทยมีค่าจ้างและโอกาสทำงานสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้านในระดับที่คุ้มค่าต่อการย้ายถิ่น แต่รายได้รวมต่อเดือน (รวมโอทีและชั่วโมงทำงานยืดหยุ่น) ยังถือเป็นแรงจูงใจมากกว่าทำงานฝั่งบ้านเกิดตัวเอง อีกทั้งระยะทางและต้นทุนข้ามแดนของอีสานต่ำ อาจจะมีการข้ามสะพานมิตรภาพหรือผ่านด่านชายแดนซึ่งใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง หรือแม้กระทั่งโครงสร้างอุตสาหกรรมอีสานในปัจจุบันต้องการแรงงานจำนวนมากในช่วงเวลาเร่งด่วน อย่างเช่น เกษตรฤดูกาล (อ้อย มันสำปะหลัง ยางพารา), อาหารและเครื่องดื่ม, ชิ้นส่วนยานยนต์-พลาสติก, ก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานเมืองมหาวิทยาลัยและโลจิสติกส์ แรงงานข้ามชาติจึงกลายเป็นกำลังแรงงานที่ทำให้สายการผลิตไม่สะดุดในคอขวดแรงงานนั่นเอง สำหรับเศรษฐกิจอีสาน แรงงานข้ามชาติถือว่าช่วยตรึงกำลังการผลิตในห่วงโซ่อาหาร เกษตรและก่อสร้าง ซึ่งมีสัดส่วนสูงใน GRP ของภาค เมื่อตัวเลขแรงงานเพิ่มขึ้นหลังโควิด สัญญาณนี้สะท้อนให้เห็นการกลับมาของคำสั่งซื้อและโครงการลงทุน ขณะเดียวกัน แรงงานไทยวัยทำงานของอีสานจำนวนมากยังย้ายไปทำงานกรุงเทพฯ หรือพื้นที่ EEC ทำให้เกิด ช่องว่างแรงงานท้องถิ่น ทำให้เกิดการพึ่งพาแรงงานข้ามชาติเพื่อรักษาความสามารถการแข่งขันของผู้ประกอบการ SME และโรงงานขนาดกลาง     อ้างอิงจาก: – กรมการจัดหางาน สำนักบริหารแรงงานต่างด้าว   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #แรงงานต่างด้าว #ต่างด้าว

พาเปิดเบิ่ง ‘แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย’ ทั่วอีสาน ที่ไหนเยอะจนน่าตกใจ⁉️ อ่านเพิ่มเติม »

พาเปิดเบิ่ง “20 เทศบาลเมืองแดนอีสาน” เก็บภาษีเองได้เยอะสุด ปี 67

ข้อมูลการจัดเก็บภาษีของเทศบาลเมืองปี 2567 ของ 20 เทศบาลเมืองในภาคอีสานซึ่งสามารถจัดเก็บภาษีเองได้สูงสุด แสดงให้เห็นการเปลี่ยนผ่านเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจอีสานจากฐานเกษตรกรรมไปสู่เศรษฐกิจเมืองที่ขับเคลื่อนด้วยการค้า บริการ อสังหาริมทรัพย์ และกิจกรรมโลจิสติกส์ เมืองเหล่านี้ไม่เพียงเป็นที่อยู่อาศัยของประชากรจำนวนมากเท่านั้น แต่ยังเป็นพื้นที่สะสมทุนทางเศรษฐกิจที่สร้างรายได้ท้องถิ่นอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนอีกด้วย เมื่อพิจารณาลงลึกไปแต่ละเทศบาลเมืองจะพบว่า เทศบาลเมืองที่จัดเก็บภาษีได้สูงมีลักษณะเป็นศูนย์กลางกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีความหนาแน่นของทรัพย์สินสูง ไม่ว่าจะเป็นที่อยู่อาศัยเชิงพาณิชย์ พื้นที่ค้าปลีกสมัยใหม่ สถานศึกษา โรงพยาบาล หรือคลังสินค้าต่างๆนั่นเอง ซึ่งเมืองเหล่านี้มี “ประชากรแฝงทางเศรษฐกิจ” สูงกว่าจำนวนประชากรตามทะเบียน ซึ่งทำให้ฐานภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง รวมถึงภาษีจากกิจการพาณิชย์ เติบโตได้ดีกว่าเมืองที่ยังพึ่งพารายได้ตามฤดูกาลหรือภาคเกษตรเป็นหลัก อย่าง “เทศบาลเมืองวารินชำราบ” จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งจัดเก็บภาษีเองได้สูงสุดในภาคอีสาน สะท้อนบทบาทของ “เมืองคู่ขนานทางเศรษฐกิจ” อย่างชัดเจน วารินชำราบไม่ได้เป็นเพียงพื้นที่ต่อขยายของอำเภอเมืองอุบลราชธานีเท่านั้น แต่เป็นศูนย์รวมการอยู่อาศัยและกิจกรรมพาณิชย์ขนาดใหญ่ ประชากรจริงที่อาศัยอยู่ในพื้นที่มีจำนวนใกล้เคียงอำเภอเมือง ขณะที่ราคาที่ดินและต้นทุนการพัฒนาเอื้อต่อการขยายตัวของหมู่บ้านจัดสรร ศูนย์การค้า และธุรกิจบริการ ส่งผลให้ฐานภาษีของเทศบาลขยายตัวอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง นอกจากนี้ วารินชำราบเองก็ยังมีโครงสร้างเศรษฐกิจที่พึ่งพารายได้ประจำมากกว่ารายได้ตามฤดูกาล เมืองเป็นที่ตั้งของหน่วยงานรัฐ โรงเรียน โรงพยาบาล และธุรกิจค้าส่งค้าปลีกขนาดใหญ่ อีกทั้งยังมีบทบาทสำคัญด้านโลจิสติกส์และการค้าชายแดนเชื่อมโยงลาวและกัมพูชา ทำให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจตลอดทั้งปี ในขณะที่เทศบาลเมืองปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ก็แสดงให้เห็นอีกมิติหนึ่งของการจัดเก็บภาษีท้องถิ่น นั่นคือการแปลง “มูลค่าการท่องเที่ยว” ให้เป็นรายได้ของเทศบาล แม้จำนวนประชากรถาวรจะไม่สูงมาก แต่การเป็นประตูสู่เขาใหญ่ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับประเทศ ทำให้ราคาที่ดิน โรงแรม รีสอร์ต และธุรกิจบริการมีมูลค่าสูง ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจึงสร้างรายได้จำนวนมาก ปากช่องจึงเป็นตัวอย่างของเมืองที่ใช้การไหลเข้าของเงินจากภายนอกพื้นที่มาเสริมความแข็งแรงให้ฐานะการคลังท้องถิ่นนั่นเอง เทศบาลเมืองหนองสำโรง จังหวัดอุดรธานี แม้ไม่ใช่ศูนย์กลางจังหวัดโดยตรง แต่เป็นพื้นที่รองรับโรงงาน คลังสินค้า และกิจกรรมหลังบ้านของเมืองอุดรธานี การใช้ที่ดินเชิงพาณิชย์จำนานมาก ส่งผลให้ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเติบโตอย่างสม่ำเสมอ ส่วนเทศบาลเมืองศิลา จังหวัดขอนแก่น ก็มีมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่ซึ่งก็ไม่ใช่คำตอบทั้งหมด แต่สิ่งสำคัญคือระบบนิเวศทางเศรษฐกิจที่ต่อยอดจากการศึกษาภายในมหาวิทยาลัย โดยพื้นที่รอบมหาวิทยาลัยถูกพัฒนาเป็นหอพักเชิงพาณิชย์ คอนโดมิเนียม ร้านอาหาร คลินิก และบริการเฉพาะทางจำนวนมาก ทำให้เกิดความหนาแน่นของทรัพย์สินและกิจกรรมทางธุรกิจในพื้นที่จำกัด ฐานภาษีของเทศบาลจึงเติบโตจากการแปร “ความรู้และการศึกษา” ให้กลายเป็นเศรษฐกิจเมืองอย่างเป็นรูปธรรมนั่นเอง . . อ้างอิงจาก: – ระบบข้อมูลการใช้จ่ายภาครัฐ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง – กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย – สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ – สำนักงานสถิติแห่งชาติ ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #เทศบาลเมือง #เทศบาลเมืองในอีสาน #การจัดเก็บภาษี

พาเปิดเบิ่ง “20 เทศบาลเมืองแดนอีสาน” เก็บภาษีเองได้เยอะสุด ปี 67 อ่านเพิ่มเติม »

พาเปิดเบิ่ง “หนึ่งจังหวัด หนึ่งสมุนไพรอีสาน” อัตลักษณ์ของดีที่ซ่อนอยู่ในแต่ละถิ่น

หากพูดถึง “สมุนไพร” เรามักจะนึกถึงพืชหรือต้นไม้ที่มาจากธรรมชาติ มีคุณสมบัติในการรักษาโรคหรือบรรเทาอาการต่าง ๆ ซึ่งมีการใช้กันมาตั้งแต่โบราณ ความรู้ในเรื่องสมุนไพรมีทั้งในตำราแพทย์ตั้งแต่สมัยกรีก อินเดีย จีน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการแพทย์ไทยแผนโบราณ คำว่า สมุนไพร ตามพระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ. 2562 หมายถึง ผลผลิตธรรมชาติที่ได้จากพืช สัตว์ จุลชีพ หรือแร่ ที่ใช้ ผสม ปรุง หรือแปรสภาพ เป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพร สมุนไพรไทยเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่ทรงคุณค่าและมีการสืบต่อกันมาตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน นอกจากจะนำมาใช้ในการรักษาอาการเจ็บป่วยต่างๆ แล้วยังนิยมนำมาใช้เป็นวัตถุดิบปรุงอาหาร ทำเครื่องสำอาง และยาทางการแพทย์อีกด้วย กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกได้มีการรวบรวมและคัดเลือกสมุนไพรประจำแต่ละจังหวัด โดยพิจารณาจากเกณฑ์ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นสมุนไพรที่มีคุณภาพ ชื่อเสียง หรือคุณลักษณะเฉพาะที่เชื่อมโยงกับแหล่งภูมิศาสตร์ การกำหนดสมุนไพรประจำจังหวัดเช่นนี้ไม่เพียงช่วยสร้างอัตลักษณ์ให้แต่ละจังหวัด แต่ยังช่วยส่งเสริมในเรื่องของผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นและสินค้า OTOP รวมถึงต่อยอดสู่การสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจในระดับประเทศ   ข้อมูลจาก Enromonitor บริษัทวิจัยตลาดระดับโลก ในปี 2567 ได้ชี้ให้ถึงมูลค่าการค้าปลีกสินค้าสมุนไพรในตลาดโลกที่สูงถึง 60,589.8 ล้านเหรียญสหรัฐ (หรือ 1.93 ล้านล้านบาทไทย) ซึ่งมีการขยายตัวจากปีก่อนหน้า 4.6%  ขณะที่ตลาดสมุนไพรของไทยมีมูลค่า 1,265.6 ล้านเหรียญสหรัฐ (40,276 ล้านบาทไทย) ขยายตัว 7.1% จากปีก่อนหน้า และจัดอยู่อันดับ 10 ของโลกเลยทีเดียว นอกจากนี้ ข้อมูลสถิติการส่งออกในปี 2567 ยังแสดงให้เห็นถึงการเติบโตของตลาดสมุนไพรไทย ซึ่งขึ้นแท่นอันดับ 1 ในอาเซียน และอยู่ในอันดับ 4 ของเอเชีย ซึ่งมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าสมุนไพรสดแห้ง สารสกัด และน้ำมันหอมระเหย และจากข้อมูลทั้งหมดนี้ ISAN Insight จะพาไปรู้จักสมุนไพรอัตลักษณ์ของแต่ละจังหวัดในภาคอีสานกัน ว่าแต่ละจังหวัดมีสมุนไพรอะไรเป็นอัตลักษณ์ประจำจังหวัด กาฬสินธุ์ = ขมิ้นชัน ขอนแก่น = คูน ชัยภูมิ =เร่วน้อย นครพนม = สมอไทย นครราชสีมา = พรมมิ บึงกาฬ = เอียนด่อน บุรีรัมย์ = กะเม็ง มหาสารคาม = บัวบก มุกดาหาร = ว่านกีบแรด ยโสธร = โคคลาน ร้อยเอ็ด = กำแพงเจ็ดชั้น เลย = กระชายดำ ศรีสะเกษ = หอมแดง สกลนคร = หมากเม่า สุรินทร์ = โลดทะนงแดง หนองคาย = ไพล

พาเปิดเบิ่ง “หนึ่งจังหวัด หนึ่งสมุนไพรอีสาน” อัตลักษณ์ของดีที่ซ่อนอยู่ในแต่ละถิ่น อ่านเพิ่มเติม »

พาสำรวจเบิ่ง อันตรายจาก “ขีปนาวุธ PHL-03” ยิงไกลกว่า 130 กม.

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กัมพูชากำลังเปลี่ยนบทบาทจากประเทศขนาดเล็กที่มักอยู่นอกกระแสของการแข่งขันด้านอาวุธ มาเป็นหนึ่งในจุดยุทธศาสตร์สำคัญของการถ่วงดุลอำนาจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หนึ่งในสัญญาณที่ชัดเจนที่สุดคือการจัดซื้อระบบจรวดนำวิถีแบบพหุคูณ (Multiple Launch Rocket System – MLRS) รุ่น PHL-03 จากประเทศจีน จำนวน 6 เครื่อง ซึ่งถูกส่งมอบให้กัมพูชาในเดือนพฤษภาคม 2022 พร้อมอุปกรณ์สนับสนุนด้านโลจิสติกส์อย่างครบชุด แล้ว PHL-03 คืออะไร? PHL-03 คือระบบยิงจรวดหลายลำกล้องขนาด 300 มม. ที่พัฒนาโดยบริษัท China North Industries Group Corporation Limited (NORINCO) ประเทศของจีน โดยระบบนี้ได้รับการออกแบบต่อยอดจาก BM-30 “Smerch” ของรัสเซีย แต่ได้รับการปรับปรุงเพิ่มเติมในด้านระบบควบคุมการยิงผ่าน GPS/GLONASS/BeiDou และระบบอัตโนมัติ ทำให้สามารถยิงได้ครั้งละ 12 นัด ภายในเวลาไม่กี่นาทีโดยแต่ละหัวรบมีน้ำหนักราว 280 กิโลกรัม และยิงได้ไกลมาตรฐานถึง 130 กิโลเมตร ส่วนรุ่นใหม่ล่าสุดยิงได้ไกลถึง 160 กิโลเมตรเลยทีเดียว ทำไมกัมพูชาถึงเลือกใช้ PHL-03? จีนคือผู้ส่งออกอาวุธหลักในอาเซียน โดยเฉพาะให้กัมพูชา ลาว และเมียนมา ผ่านบริษัท NORINCO การส่งอาวุธมักมาพร้อม ดีลแฝง อย่างเช่น การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การฝึกทหาร หรือโลจิสติกส์ ซึ่งการซื้อ PHL‑03 ของกัมพูชานั้น ก็สะท้อนการแข่งขันอิทธิพลระหว่างจีนกับมหาอำนาจอื่น ยิ่งในช่วงภูมิภาคตึงเครียด การลงทุนด้านอาวุธยิ่งกลายเป็นเครื่องมือ ดึงพันธมิตรทางการเมืองและเศรษฐกิจ การจัดซื้ออาวุธ PHL-03 ของกัมพูชา ไม่ได้เป็นเพียงการเสริมขีดความสามารถทางทหารเท่านั้น โดยการจัดซื้ออาวุธเหล่านี้มักแนบมากับข้อตกลงด้านการลงทุน การสร้างโครงสร้างพื้นฐาน หรือแม้กระทั่งการฝึกอบรมกำลังพลโดยผู้เชี่ยวชาญจากจีนนั่นเอง สถานการณ์ล่าสุดและความกังวล (13 ธ.ค. 68) ความสามารถในการยิงของ PHL-03 นั้นที่มีระยะไกลถึง 130-160 กิโลเมตร ทำให้ระบบนี้ครอบคลุมพื้นที่บริเวณกว้างของภาคอีสานไทย ซึ่งทำให้เกิดความกังวลอย่างเลี่ยงไม่ได้ แม้จะมีรายงานการตรวจพบระบบจรวด PHL-03 บริเวณ พัน.ป.87 จ.พระวิหาร ซึ่งอยู่ห่างจากแนวชายแดน อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ประมาณ 90 กิโลเมตร อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการ ว่ากัมพูชาจะนำระบบดังกล่าวเข้าประจำการหรือใช้งานแต่อย่างใด แต่กองทัพไทยได้แสดงความห่วงใยต่อศักยภาพที่อาจนำมาใช้ในกรณีเกิดความตึงเครียดระหว่างสองประเทศ #อัพเดตล่าสุด‼️ (13 ธ.ค. 2568) เวลา 16.00 น. ที่ศูนย์แถลงข่าวร่วม สถานการณ์ ไทย-กัมพูชา ที่สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก พลเรือตรีสุรสันต์ คงศิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวยืนยันว่า ยังไม่ได้รับรายงาน อาวุธPHL03 กัมพูชา เข้ามาในพื้นที่พระวิหาร หากตรวจพบ “กองทัพไทยจะดําเนินการต่อเป้าหมายทันทีโดยไม่รีรอให้กัมพูชาเปิดปฏิบัติก่อน เพราะเรามีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่มีความพร้อมในเรื่องของการโจมตีเป้าหมายแม่นยํา”

พาสำรวจเบิ่ง อันตรายจาก “ขีปนาวุธ PHL-03” ยิงไกลกว่า 130 กม. อ่านเพิ่มเติม »

ราคาข้าวพุ่งแรงสะเทือนทุ่ง ข้าวเหนียวพุ่งทะลุ 11,000 บาท/ตัน ส่วนหอมมะลิแตะ 16,000 บาท/ตัน ชาวนายิ้มทั้งน้ำตา แม้ผลผลิตลดฮวบจากโรคระบาด แต่ราคาดีจนตลาดคึกคักสุดๆ เรียกได้ว่า “ปีทองของชาวนาไทย”

ปรากฏการณ์ราคาข้าวในภาคอีสานที่พุ่งแรงในช่วงปลายฤดูเก็บเกี่ยวปีนี้ ไม่เพียงเป็นข่าวดีเชิงรายได้ของเกษตรกรเท่านั้น แต่ยังเป็น “กรณีศึกษาเชิงโครงสร้าง” ของเศรษฐกิจการเกษตรไทยที่สะท้อนความซับซ้อนระหว่างกลไกตลาด ความเสี่ยงด้านการผลิต และพฤติกรรมของชาวนา ราคาข้าวเหนียวแห้งที่ทะยานจากระดับราว 6,000 บาทต่อตัน ไปแตะ 11,000 บาท และข้าวเจ้าหอมมะลิที่ขยับขึ้นถึง 15,500-16,000 บาทต่อตัน แม้จะมีผลผลิตรวมลดลงจากโรคระบาดในนาข้าว เมล็ดพันธุ์ที่ขาดคุณภาพ และสภาพแวดล้อมการผลิตที่ผันผวน ปัจจัยเหล่านี้ก่อให้เกิดภาวะอุปทานตึงตัว ซึ่งเมื่อปะทะกับอุปสงค์จากโรงสีและผู้ค้าข้าวที่ยังคงมีอยู่ต่อเนื่อง กลไกราคาจึงตอบสนองอย่างรุนแรงในเวลาอันสั้นนั่นเอง เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นของราคาข้าวที่สูงกว่าปกติในช่วงปลายฤดูเก็บเกี่ยว เมื่อปริมาณข้าวใหม่เข้าสู่ตลาดลดลง ขณะที่ผู้ซื้อยังจำเป็นต้องรักษาสต๊อกเพื่อการสี การแปรรูป และการส่งมอบตามสัญญา ราคาจึงกลายเป็นเครื่องมือหลักในการดึงดูดผลผลิตที่เหลืออยู่ในมือเกษตรกร ตลาดกลางข้าวและพืชไร่ จ.กาฬสินธุ์ กลับมาคึกคักผิดคาด อย่างไรก็ตาม ความหายของคำว่าชาวนา “ยิ้มทั้งน้ำตา” แม้ราคาข้าวจะสูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยเห็นมาหลายปี แต่รายได้สุทธิของครัวเรือนเกษตรจำนวนมากกลับไม่ได้เพิ่มขึ้นในสัดส่วนเดียวกัน เนื่องจากผลผลิตต่อไร่ลดลงอย่างหนัก ต้นทุนการผลิตทั้งปุ๋ย สารเคมี ค่าแรง และค่าเช่าที่ดิน ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ชาวนาจำนวนไม่น้อยจำเป็นต้องขายข้าวสดตั้งแต่ต้นฤดูในราคาเพียง 6-7 บาทต่อกิโลกรัม เพื่อแก้ปัญหาสภาพคล่องและภาระหนี้สิน นี่ก็สามารถสะท้อนข้อจำกัดเชิงสถาบันของระบบการเงินชนบท ที่ทำให้เกษตรกรไม่สามารถถือครองผลผลิตเพื่อรอจังหวะราคาที่เหมาะสมได้นั่นเอง ความเสี่ยงจากโรคระบาดหรือคุณภาพเมล็ดพันธุ์สามารถทำให้ปริมาณผลผลิตหายไปจากตลาดได้ในวงกว้าง นั่นย่อมสะท้อนว่าฐานการผลิตยังพึ่งพาปัจจัยธรรมชาติและแรงงานมนุษย์มากเกินไป ขณะที่การลงทุนด้านวิจัย พัฒนา และถ่ายทอดเทคโนโลยียังไม่ทั่วถึง การแนะนำให้ใช้พันธุ์ข้าวคุณภาพ วิธีนาดำ การควบคุมวัชพืช และการจัดการน้ำในแปลงนา จึงไม่ใช่เพียงข้อเสนอเชิงเทคนิคเท่านั้น แต่คือความพยายามยกระดับ “ผลิตภาพรวม” ของภาคการผลิตข้าวในอีสาน เพื่อให้รายได้เกษตรกรมีเสถียรภาพมากกว่าการลุ้นราคาตลาดเพียงปีต่อปี นอกจากนี้ การที่ชาวนาหลายรายเริ่มมองไปข้างหน้าและพิจารณาปรับโครงสร้างการปลูก โดยหันไปปลูกข้าวเจ้าหอมมะลิมากขึ้น สะท้อนการตอบสนองต่อสัญญาณราคาของตลาดอย่างมีเหตุผล แม้จะตระหนักว่าผลผลิตต่อไร่อาจต่ำกว่าข้าวเหนียว แต่ราคาที่สูงกว่า ความต้องการในตลาดส่งออก และภาพลักษณ์สินค้าพรีเมียม ทำให้ข้าวหอมมะลิถูกมองเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีศักยภาพสร้างรายได้ในระยะกลาง อย่างไรก็ตาม หากการปรับตัวนี้เกิดขึ้นพร้อมกันในวงกว้างโดยไร้การกำกับเชิงนโยบาย ก็อาจนำไปสู่วัฏจักรอุปทานล้นตลาดและราคาตกต่ำในอนาคต ซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ภาคเกษตรไทยเผชิญซ้ำแล้วซ้ำเล่า ปรากฏการณ์ราคาข้าวอีสานปีนี้ ความผันผวนของรายได้เกษตรกรส่งผลโดยตรงต่อกำลังซื้อ การบริโภค และเศรษฐกิจท้องถิ่นในวงกว้าง เมื่อราคาข้าวปรับตัวสูงขึ้น เงินหมุนเวียนในตลาดท้องถิ่น ร้านค้า และบริการจึงเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ในขณะเดียวกัน ความไม่แน่นอนด้านผลผลิตและราคา ก็ทำให้การฟื้นตัวนี้เปราะบางและอาจหดตัวได้อย่างรวดเร็ว     อ้างอิงจาก: – จับกระแสเกษตร   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #เกษตรอีสาน #ข้าวเหนียว #ชาวนา #ข้าวเหนียวราคาพุ่ง

ราคาข้าวพุ่งแรงสะเทือนทุ่ง ข้าวเหนียวพุ่งทะลุ 11,000 บาท/ตัน ส่วนหอมมะลิแตะ 16,000 บาท/ตัน ชาวนายิ้มทั้งน้ำตา แม้ผลผลิตลดฮวบจากโรคระบาด แต่ราคาดีจนตลาดคึกคักสุดๆ เรียกได้ว่า “ปีทองของชาวนาไทย” อ่านเพิ่มเติม »

จากท้องนาสู่ต่างแดน ทำไมชาวอีสานถึงต้องทิ้งบ้าน? พาเปิดเบิ่งเหตุผล “รายได้ต่ำ-หนี้สินสูง” ดันคนสู่ต่างแดน

ความยากจนข้นแค้นและสายลมหน้าแล้งที่พัดผ่านท้องนาในภาคอีสาน สิ่งเหล่านี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวของหลายชีวิตในภาคอีสานที่ต้องออกเดินทางเพื่อความอยู่รอด จากชาวไร่ชาวนาในหมู่บ้านเล็ก ๆ สู่แรงงานในเมืองกรุง และยังมีพี่น้องชาวอีสานอีกจำนวนไม่น้อยที่ต้องเดินทางไกลไปเผชิญชีวิตยังต่างแดน พวกเขาเหล่านี้ต้องจากบ้านเกิดเมืองนอน ห่างไกลจากครอบครัวและบุคคลอันเป็นที่รักเป็นเวลาหลายปี ซึ่งแน่นอนว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องราวของพี่น้องชาวอีสานที่ไปทำงานในต่างแดนเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องราวของความพยายาม ความฝัน และการดิ้นรนของผู้คนในการแสวงหาโอกาสใหม่ในชีวิตเพื่อให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นกว่าเดิม เรามักจะทราบกันดีว่า อาชีพหลักของผู้คนในภาคอีสานคือการประกอบอาชีพเกี่ยวกับเกษตรกรรม ซึ่งมีผู้ประกอบอาชีพภาคการเกษตรมากถึง 3.8 ล้านครัวเรือน และพื้นที่กว่า 63.9 ล้านไร่ ในภาคอีสานได้ถูกทำให้เป็นพื้นที่ทำการเกษตร แต่เนื่องด้วยผลผลิตทางการเกษตรเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน มีความเสี่ยงสูงแต่ผลตอบแทนต่ำ ทำให้รายได้ของเกษตรกรในภาคอีสานไม่เพียงพอต่อการจุนเจือครอบครัว และมักประสบปัญหาหนี้สินเรื้อรัง โดยภาคอีสานมีหนี้สินครัวเรือนสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วประเทศถึง 12.2% จากการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน ในปี 2568 (6 เดือนแรก) ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่าภาคอีสานมีรายได้เฉลี่ยรายเดือนต่อคนต่ำกว่าภูมิภาคอื่น ๆ ดังนี้ 1. กรุงเทพฯ – ปริมณฑล 48.7% 2. ภาคกลาง 27% 3. ภาคใต้ 19.3% 4. ภาคเหนือ 1% ด้วยข้อจำกัดทางด้านเกษตรกรรม ความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ ทำให้ภาคอีสานมีปัญหาทางด้านเศรษฐกิจมากกว่าภูมิภาคอื่น และในขณะเดียวกันยังมีข้อจำกัดของโอกาสในการจ้างงาน เนื่องจากประเทศไทยมีโครงสร้างเศรษฐกิจแบบศูนย์รวม ความเจริญจึงกระจุกตัวอยู่ในเมืองหลวงและนิคมอุตสาหกรรม ชาวอีสานหลายคนจึงเลือกเดินทางไปทำงานยังพื้นที่ที่มีความเจริญมากกว่า นอกจากเดินทางไปทำงานภายในประเทศแล้ว พบว่ายังมีชาวอีสานหลายคนเลือกไปทำงานยังต่างประเทศ โดยจำนวนคนหางานที่ได้รับอนุญาตให้เดินทางไปทำงานต่างประเทศ ประจำปี 2568 (มกราคม – ตุลาคม) จากกองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ พบว่า 64.51% เป็นแรงงานที่มาจากภาคอีสาน ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงกว่าจำนวนแรงงานจากทุกภาคอื่นรวมกัน อิสราเอล ไต้หวัน และเกาหลีใต้ เป็นประเทศปลายทางที่มีคนอีสานไปทำงานมากที่สุด ซึ่งอาชีพที่แรงงานอีสานไปทำมากที่สุดคือ แรงงานภาคการเกษตรและภาคอุตสาหกรรม ทั้งนี้ ข้อมูลประมาณการรายได้ที่คนหางานไทยในต่างประเทศส่งกลับโดยผ่านระบบธนาคารแห่งประเทศไทย ตั้งแต่ มกราคม – ตุลาคม ปี 2568 มีจำนวนรวมทั้งสิ้นสูงถึง 248,113 ล้านบาทจากแนวโน้มดังกล่าว สามารถจัดอันดับ 5 จังหวัดในภาคอีสานที่มีคนเดินทางไปทำงานต่างประเทศมากที่สุด ได้ดังนี้ 1. จังหวัดอุดรธานี คิดเป็นสัดส่วน 18.9% ส่วนใหญ่เดินทางไปยังไต้หวัน รองลงมาคืออิสราเอล และเกาหลีใต้ 2. จังหวัดนครราชสีมา คิดเป็นสัดส่วน 10.7% โดยมีปลายทางสำคัญ ได้แก่ ไต้หวัน อิสราเอล และญี่ปุ่น 3. จังหวัดขอนแก่น คิดเป็นสัดส่วน 8% โดยประเทศปลายทางที่ได้รับความนิยม ได้แก่ ไต้หวัน อิสราเอล และฟินแลนด์ ตามลำดับ 4. จังหวัดชัยภูมิ คิดเป็นสัดส่วน 7.98% โดยแรงงานจำนวนมากเลือกเดินทางไปยังฟินแลนด์ ไต้หวัน และอิสราเอล 5. จังหวัดสกลนคร คิดเป็นสัดส่วน 6.6% โดยมีปลายทางสำคัญ

จากท้องนาสู่ต่างแดน ทำไมชาวอีสานถึงต้องทิ้งบ้าน? พาเปิดเบิ่งเหตุผล “รายได้ต่ำ-หนี้สินสูง” ดันคนสู่ต่างแดน อ่านเพิ่มเติม »

ไทยติด Top 5 โลกถึง 2 เมือง “กรุงเทพฯ คว้า อันดับ 1” ส่วน “โคราชพุ่งแรงติด อันดับ 5” เมืองยอดนิยมของคนทำงานยุคใหม่สายเทคโนโลยี

การจัดอันดับเมืองที่ดีที่สุดในโลกสำหรับ Digital Nomad ปี 2025 ไม่ได้เป็นเพียงลิสต์ท่องเที่ยวเชิงไลฟ์สไตล์เท่านั้น แต่เป็นการสะท้อนการเปลี่ยนผ่านเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจโลก จากระบบแรงงานที่ผูกติดกับสำนักงาน สู่ระบบแรงงานที่เคลื่อนย้ายได้อย่างเสรี เมืองจึงไม่ใช่เพียงพื้นที่อยู่อาศัย แต่กลายเป็น “สินทรัพย์ทางเศรษฐกิจ” ที่แข่งขันกันดึงดูดทุนมนุษย์จากทั่วโลก และในเวทีการแข่งขันนี้ “กรุงเทพมหานคร” ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ชนะอันดับหนึ่งของโลก ขณะที่ “นครราชสีมา” กลายเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจของการผงาดขึ้นของเมืองรองในระบบเศรษฐกิจดิจิทัล มีรายงานจาก HotelWithTub แพลตฟอร์มค้นหาที่พักทั่วโลก ได้สำรวจและจัดอันดับ 100 เมืองที่ดีที่สุดในโลกสำหรับ Digital Nomad ปี 2025 จากการเก็บข้อมูลกว่า 1,300 เมืองทั่วโลก โดยใช้เกณฑ์หลากหลายมิติ ตั้งแต่ค่าครองชีพ คุณภาพชีวิต ความปลอดภัย โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ไปจนถึงความนิยมบนสื่อสังคมออนไลน์ ผลลัพธ์สะท้อนแนวโน้มสำคัญว่าแรงงานยุคใหม่ไม่ได้มองหา “เมืองที่ดีที่สุด” ในเชิงหรูหรา แต่ต้องการ “เมืองที่คุ้มค่าที่สุด” ต่อการใช้ชีวิตและการทำงานในระยะยาว และนี่คือจุดที่ประเทศไทยโดดเด่นเหนือประเทศอื่นอย่างชัดเจนนั่นเอง   กรุงเทพมหานคร เมืองต้นทุนต่ำ ประสิทธิภาพสูง และความคุ้มค่าเชิงโครงสร้าง การที่กรุงเทพฯ ครองอันดับ 1 ของโลก ด้วยคะแนนรวม 91/100 กรุงเทพฯ เป็นตัวอย่างคลาสสิกของเมืองที่สามารถให้ “ผลตอบแทนต่อคุณภาพชีวิต” สูงกว่าต้นทุนที่จ่าย ค่าครองชีพเฉลี่ยสำหรับคนโสดราว 1,537 ดอลลาร์ต่อเดือน (หรือราวๆ 50,000 บาทต่อเดือน สำหรับการทำงานคนเดียว) ต่ำกว่าเมืองระดับโลกอย่างลอนดอน โตเกียว หรือดูไบหลายเท่าตัว แต่กลับมีโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการทำงานทางไกลได้อย่างเต็มรูปแบบ ทั้งอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ระบบขนส่งมวลชน Co-working Space และระบบบริการเมืองที่ครบวงจร เมืองนี้ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากกว่า 23 ล้านคนต่อปี และมีอัตราการกลับมาอยู่ซ้ำๆ 18% ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีจำนวนเมืองยอดนิยมที่ติดอันดับ Top 100 Digital Nomad Destinations in 2025 มากที่สุด โดยมีถึง 7 เมือง ได้แก่ กรุงเทพฯ, นครราชสีมา, เกาะพงัน, เชียงใหม่, เกาะลันตา, ภูเก็ต และ กระบี่ ทั้งนี้ ประเทศไทยยังคงเป็นศูนย์กลางของชาว Nomad ในโลกดิจิทัล โดยมีวิถีชีวิตแบบประหยัด และชื่นชอบวัฒนธรรมชุมชนท้องถิ่นที่มีชีวิตชีวา   นครราชสีมา: เมืองรองที่ท้าทายกรอบคิดเดิมของการพัฒนาเมือง การที่นครราชสีมาติดอันดับ 5 ของโลก ด้วยคะแนน 80/100 และมีค่าครองชีพต่ำที่สุดในกลุ่ม Top 10 คือสัญญาณเชิงโครงสร้างที่สำคัญ โคราชมีค่าครองชีพสำหรับคนโสดเพียง 1,062 ดอลลาร์ต่อเดือน (หรือราวๆ 34,500 บาทต่อเดือน) และสำหรับครอบครัวราว 1,100 ดอลลาร์ต่อเดือน (หรือราวๆ

ไทยติด Top 5 โลกถึง 2 เมือง “กรุงเทพฯ คว้า อันดับ 1” ส่วน “โคราชพุ่งแรงติด อันดับ 5” เมืองยอดนิยมของคนทำงานยุคใหม่สายเทคโนโลยี อ่านเพิ่มเติม »

ฝุ่นกลับมาอีกครั้ง พาเลาะเบิ่งแผนที่ “จุดเผา” หนึ่งในสาเหตุ PM 2.5

สถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 กลับมาปกคลุมประเทศไทยอีกครั้งในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2568 และทวีความรุนแรงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะวันที่ 30 พฤศจิกายน มีรายงานค่าฝุ่นในระดับ “ไม่ดีต่อสุขภาพ” (สีส้ม/แดง) สูงขึ้นอย่างชัดเจนทั่วประเทศ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ บริเวณเขตปทุมวัน ที่ดัชนีคุณภาพอากาศ (US AQI) พุ่งสูงสุดถึง 159 ซึ่งจัดอยู่ในระดับ”Unhealthy for Sensitive Groups” หรือ “ไม่ดีต่อสุขภาพสำหรับกลุ่มคนไวต่อมลพิษ” ปัญหาคุณภาพอากาศที่ยิ่งทวีความหนักหน่วงในเมืองใหญ่ ทำให้หลายคนเริ่มสัมผัสอาการแสบจมูก ระคายคอ เหนื่อยง่ายจากมลพิษที่ลอยปกคลุมอยู่ทั่วเมือง ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า ช่วงปลายปีมักเกิดภาวะอากาศนิ่ง ฝุ่นสะสม และการจราจรที่หนาแน่นยิ่งซ้ำเติมให้คุณภาพอากาศตกลงอย่างรวดเร็ว แม้หลีกเลี่ยงได้ยาก แต่การรู้เท่าทันสถานการณ์และปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวันยังช่วยลดความเสี่ยงต่อสุขภาพได้บางส่วน อีสานอินไซต์เลยจะขอพามาดู “จุดเผา” หนึ่งในสาเหตุ PM 2.5 🔥จุดความร้อน หรือ Hot Spot คืออะไร? จุดความร้อน พูดง่ายๆก็คือ จุดที่ดาวเทียมตรวจพบค่าความร้อนสูงผิดปกติจากค่าความร้อนบนผิวโลก ซึ่งส่วนมากก็คือความร้อนจากไฟ แสดงในรูปแบบแผนที่เพื่อนำเสนอตำแหน่งที่เกิดไฟในแต่ละพื้นที่แบบคร่าวๆ การได้มาซึ่งข้อมูลจุดความร้อนอาศัยหลักการที่ว่า ดาวเทียมสามารถตรวจวัดคลื่นรังสีอินฟาเรดหรือรังสีความร้อนที่เกิดจากไฟ (อุณหภูมิสูงกว่า 800 องศาเซลเซียส) บนพื้นผิวโลก จากนั้นก็ประมวลผลแสดงในรูปแบบจุด โดยแผนภาพที่นำเสนอจุดแดง📛คือ จุดความร้อนที่กระจายอยู่ในช่วง 7 วันที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เกิดจากไฟหรือการเผาในพื้นที่ต่างๆ โดยเฉพาะงานเกษตร อย่างเช่น การเผาตอซังและฟางข้าวที่พบมากในภาคอีสาน เนื่องจากต้นทุนการไถกลบยังสูงจนเกษตรกรจำนวนมากเลือกวิธีเผาแทน ส่งผลให้ภาพรวมของภูมิภาคเต็มไปด้วยจุดความร้อนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกลายเป็นแหล่งกำเนิด PM 2.5 สำคัญของประเทศ อย่างไรก็ตาม ปัญหาฝุ่นไม่ได้เกิดจากการเผาเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีปัจจัยอื่นร่วมด้วย ทั้งไฟป่า ควันจากประเทศเพื่อนบ้าน การจราจรที่หนาแน่น การขนส่ง เครื่องยนต์ดีเซล รวมถึงโรงงานอุตสาหกรรม ประกอบกับสภาพอากาศช่วงต้นปีที่มักถูกปกคลุมด้วยความกดอากาศสูง ลมอ่อน และอากาศปิด ทำให้ฝุ่นไม่กระจายตัวและสะสมในระดับอันตรายต่อสุขภาพได้ง่าย โดย PM 2.5 ที่มีอนุภาคเล็กมากสามารถแทรกซึมเข้าสู่กระแสเลือด ปอด และหัวใจ ทำให้เพิ่มความเสี่ยงของโรคทางเดินหายใจ โรคหัวใจและหลอดเลือด และปัญหาสุขภาพเรื้อรังอีกมากมาย วิกฤตฝุ่นในครั้งนี้ แม้สร้างผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และเศรษฐกิจอย่างหนัก แต่ในอีกมุมหนึ่งก็ผลักดันให้เกิดดีมานด์ใหม่ในตลาดสินค้าและบริการด้านสุขภาพ บริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัสประเมินว่า ความต้องการหน้ากาก เครื่องฟอกอากาศ และการรักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้น จะส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล เช่น BDMS, BH, BCH รวมถึงกลุ่มค้าปลีกที่จำหน่ายอุปกรณ์ป้องกันฝุ่นและผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพ เช่น HL, IP, MEGA, HMPRO และ CRC เพราะประชาชนหันมาให้ความสำคัญกับการป้องกันและดูแลสุขภาพมากขึ้นนั่นเอง ฝุ่น PM 2.5 จึงไม่ใช่เพียงปัญหาสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังสะท้อนความเชื่อมโยงระหว่างสาธารณสุข เศรษฐกิจ และพฤติกรรมผู้บริโภค ซึ่งกำลังเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญในยุคที่มลพิษอากาศกลายเป็นความเสี่ยงระยะยาวของคนเมืองไทยทุกคน   ที่มา:  – THE

ฝุ่นกลับมาอีกครั้ง พาเลาะเบิ่งแผนที่ “จุดเผา” หนึ่งในสาเหตุ PM 2.5 อ่านเพิ่มเติม »

พาเปิดเบิ่ง “งบบริหารจัดการน้ำ ปี 68” กว่า 111,392 ล้าน กระจายไปที่ไหนบ้าง

ในปีงบประมาณ 2568 งบประมาณที่จัดสรรให้กับโครงการโครงสร้างการบริหารจัดการน้ำ (เขื่อน อ่างเก็บน้ำ ฝาย) มีจำนวนรวม 111,392 ล้านบาท ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นงบลงทุน และคิดเป็นสัดส่วนมากถึง 20.5% ของงบลงทุนทั้งหมดของประเทศ งบประมาณส่วนใหญ่นี้มุ่งเน้นไปที่โครงการเกี่ยวกับระบบและสิ่งก่อสร้างเพื่อส่งน้ำหรือระบายน้ำ เช่น ประตูระบายน้ำ ฝาย และคลองส่งน้ำ คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 73.1% ขณะที่งบประมาณสำหรับสิ่งก่อสร้างสำหรับกักเก็บน้ำ/หาแหล่งน้ำใหม่มีเพียง 7.2% เท่านั้น และที่น่าสังเกตคือ โครงการที่ระบุรายละเอียดอย่างชัดเจนว่ามีวัตถุประสงค์เพื่อจัดการน้ำท่วมโดยเฉพาะ มีสัดส่วนเพียง 5.5% ของงบประมาณจัดการน้ำทั้งหมด ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการจัดสรรงบประมาณยังคงเน้นการบริหารจัดการน้ำตามปกติ มากกว่าการลงทุนเชิงรุกเพื่อป้องกันและบรรเทาภัยพิบัตินั่นเอง การกระจายตัวของงบประมาณตามพื้นที่พบว่างบจัดการน้ำจะเน้นลงไปยังจังหวัดใน ภาคอีสาน มากที่สุด เนื่องจากเป็นภูมิภาคที่มีสัดส่วนพื้นที่ชลประทานต่อพื้นที่เกษตรกรรมต่ำที่สุดในประเทศ เพียง 13.2% (เทียบกับค่าเฉลี่ยทั่วประเทศ 22.9%) ทำให้เกษตรกรส่วนใหญ่ยังคงต้องพึ่งพาฟ้าฝนอย่างหนัก ในปีงบ 2568 จังหวัดที่ได้รับงบประมาณจัดการน้ำมากที่สุดสองปีติดต่อกันคือ อุบลราชธานี โดยได้รับงบประมาณกว่า 3,422 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการเป็นพื้นที่รับน้ำจากสองแม่น้ำสายหลักคือชีและมูล และเคยประสบอุทกภัยรุนแรงที่สุดในปี 2565 การทุ่มงบประมาณหลังภัยพิบัติในลักษณะนี้ สอดคล้องกับการที่รัฐบาลเริ่มหยิบยกโครงการก่อสร้างเขื่อน ‘แก่งเสือเต้น’ ขึ้นมาพิจารณาอีกครั้งหลังจากเกิดเหตุน้ำท่วมในภาคเหนือนั่นเอง 10 จังหวัดที่ได้รับงบบริหารจัดการน้ำมากที่สุด – อุบลราชธานี 3,421 ล้านบาท – กาญจนบุรี 2,369 ล้านบาท – กรุงเทพมหานคร 2,334 ล้านบาท – สงขลา 2,326 ล้านบาท – นครศรีธรรมราช 2,259 ล้านบาท – นครราชสีมา 2,234 ล้านบาท – เชียงราย 2,119 ล้านบาท – นครพนม 2,020 ล้านบาท – บุรีรัมย์ 2,009 ล้านบาท – เชียงใหม่ 1,903 ล้านบาท ในด้านหน่วยงานที่รับผิดชอบ ซึ่งงบประมาณส่วนใหญ่อยู่ในความดูแลของ กรมชลประทาน (58.2%) และ กรมโยธาธิการและผังเมือง (21.9%) ขณะที่งบประมาณถึง 88.3% ยังคงกระจุกตัวอยู่กับหน่วยราชการส่วนกลาง โดยมีงบประมาณที่ลงไปยังราชการส่วนจังหวัด/กลุ่มจังหวัดเพียง 4.5% และองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เพียง 3.8% เท่านั้น แม้ว่าบทเรียนจากน้ำท่วมหลายครั้งที่ผ่านมาจะชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการกระจายอำนาจการบริหารจัดการน้ำไปสู่ท้องถิ่นมากขึ้น แต่โครงสร้างการจัดการและการกระจายงบประมาณในปัจจุบันยังคงมีลักษณะกระจุกอยู่ศูนย์กลางแต่ละท้องที่ ความแตกต่างระหว่างแผนกับความเป็นจริง โดยคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ได้จัดทำ ‘แผนปฏิบัติการด้านทรัพยากรน้ำ’ ที่มีกรอบวงเงินเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปีงบ 2568 มีกรอบวงเงินสูงถึง 440,431 ล้านบาท แต่เมื่องบประมาณผ่านกระบวนการจัดสรรจริง โครงการที่ได้รับงบประมาณกลับมีเพียงราว 1 ใน 4

พาเปิดเบิ่ง “งบบริหารจัดการน้ำ ปี 68” กว่า 111,392 ล้าน กระจายไปที่ไหนบ้าง อ่านเพิ่มเติม »

🔎พาเปิดเบิ่งสถิติ “น้ำท่วมซ้ำซาก” ในช่วง 15 ปี ที่ผ่านมา และพื้นที่เสียหายสูงสุดใน 30 วันนี้☔️🌧️

⛰️จากการประมวลความถี่ของการเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)  พบว่าในช่วงหนึ่งอายุของคนที่เกิดในปี 2563 จะมีโอกาสเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติมากกว่าคนที่เกิดในปี 2503 ถึง 3 เท่า  โดยรายงานการค้าและการพัฒนา (Trade and Development Report 2021) จัดทำโดย UNCTAD ชี้ให้เห็นว่า ในช่วงปี 2543 – 2562 ทั่วโลกเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ จำนวน 7,348 ครั้ง คร่าชีวิตผู้คนไป 1.23 ล้านคน ส่งผลกระทบต่อผู้คนทั่วโลกกว่า 4,200 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจประมาณ 2.97 ล้านล้านดอลลาร์ หรือ 101.75 ล้านล้านบาท ⛈️เมื่อปี 2554 ประเทศไทยประสบกับอุทกภัยครั้งรุนแรงที่สุดในรอบ 70 ปี ส่งผลกระทบต่อชีวิต และทรัพย์สินของเคยไทยเกือบทุกภูมิภาคของประเทศ รวมทั้งเศรษฐกิจได้รับความเสียหายอย่างมาก นับเป็นอุทกภัยครั้งประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ☔️หากลงไปดูหลังคาเรือนที่ได้รับผลกระทบมากสุดในช่วง 30 วันที่ผ่านมา (30 ต.ค. – 28 พ.ย. 68) จะพบว่า จังหวัดสงขลา อยุธยา นนทบุรี ชัยนาท และปทุมธานีมีบ้านเรือนเสียหายรวมกันหลายแสนหลัง ปัญหาไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะพื้นที่ชนบท แต่กินพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ อย่างเช่น นิคมอุตสาหกรรมลุ่มเจ้าพระยา เขตที่อยู่อาศัยเมืองใหม่ และศูนย์กลางโลจิสติกส์ระดับประเทศ ส่งผลให้ภาคธุรกิจต้องเผชิญต้นทุนที่ควบคุมไม่ได้ ทั้งการหยุดผลิต ความล่าช้าของโลจิสติกส์ ต้นทุนประกันที่สูงขึ้น และมูลค่าทรัพย์สินที่ลดลง โดยในพื้นที่อุตสาหกรรมสำคัญนั่นเอง 🌪️ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2568 ภาคใต้ของไทยกำลังเผชิญกับ “มหาอุทกภัย” ที่ได้รับการประเมินว่าเป็นวิกฤตครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายสิบปี โดยจังหวัดศูนย์กลางอย่าง หาดใหญ่ และ สงขลา เป็นหนึ่งในจุดที่ได้รับผลกระทบรุนแรงสุด หลังจากได้รับฝนตกหนักและต่อเนื่อง โดยในบางพื้นที่ปริมาณน้ำฝนสูงทำลายสถิติหลายร้อยปี ล่าสุด สถานการณ์มีผู้ได้รับผลกระทบท่วมถึง “กว่า 2.9 ล้านคน” จากหลายจังหวัดภาคใต้ และหลายแสนครัวเรือนได้รับความเดือดร้อนทั้งพื้นที่อยู่อาศัย พืชผลเกษตร โครงสร้างพื้นฐาน และกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ด้านเศรษฐกิจ ผลจากการหยุดชะงักทั้งภาคบริการ เกษตร โรงงาน และการค้าทำให้เสียหายเบื้องต้นไม่น้อยกว่า 25,000 ล้านบาท และหากสถานการณ์ลากยาวออกไป อาจสร้างแรงกดดันต่อเศรษฐกิจภาคใต้โดยรวมอย่างหนัก รวมถึงส่งผลกระทบต่อ GDP ประเทศโดยรวมอีกด้วย   อ้างอิงจาก: – มิตรเอิร์ธ – mitrearth – Hydro Informatics Institute – GISTDA – สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ – กรุงเทพธุรกิจ – วิจัยกรุงศรี – ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) –

🔎พาเปิดเบิ่งสถิติ “น้ำท่วมซ้ำซาก” ในช่วง 15 ปี ที่ผ่านมา และพื้นที่เสียหายสูงสุดใน 30 วันนี้☔️🌧️ อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top