Nanthawan Laithong

อีสานบ้านเฮาสุดปัง! 6 จังหวัดคว้ารางวัลใหญ่ การประกวดผ้าลายพระราชทาน “สิริราชพัสตราภรณ์” ปี 68

สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีประกาศผลรางวัลการประกวดผ้าลายพระราชทาน “ผ้าลายสิริราชพัสตราภรณ์” และงานหัตถกรรม รอบชิงชนะเลิศระดับประเทศ ประจำปี 2568 ณ สุราลัยฮอลล์ ชั้น 7 ศูนย์การค้าไอคอนสยาม เขตคลองสาน กรุงเทพฯ โดยมีนายสุรศักดิ์ อักษรกุล อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชนพร้อมคณะผู้บริหารเฝ้ารับเสด็จอย่างพร้อมเพรียง งานปีนี้ได้รับผลงานส่งเข้าประกวดทั้งสิ้น 8,903 ชิ้น โดยคณะกรรมการคัดเลือกผลงานเข้ารอบชิงชนะเลิศในระดับชาติได้แก่ผ้า 54 ผืน และงานหัตถกรรม 5 ชิ้น ก่อนคัดเลือกมอบรางวัลใน 15 ประเภทต่าง ๆ ซึ่งครอบคลุมเทคนิคการทอ ตลอดจนลวดลายและงานฝีมือพื้นถิ่นหลากหลายภูมิภาค  โดยภาคอีสานของเราสร้างความภาคภูมิใจอย่างยิ่งอีกครั้ง ด้วยการคว้ารางวัล ชนะเลิศเหรียญทองถึง 9 ประเภท จากทั้งหมด 15 ประเภท ถือเป็นผลงานที่สะท้อนพลังแห่งภูมิปัญญา ช่างฝีมือ และความงดงามของผ้าไทยอีสานได้อย่างทรงคุณค่า ทั้งในด้านศิลป์ วัฒนธรรม และจิตวิญญาณของผู้คนบนผืนแผ่นดินที่ยังคงรักษา “เส้นไหมแห่งชีวิต” ไว้อย่างงดงามและทรงพลังที่สุดในประเทศ 📍อุดรธานี 🧵ประเภทผ้าขิด✅ ดอกพุดตานบานที่บ้านเชียง จากกลุ่มเฮือนไหมมนัสวรรณ ไหมแท้ที่แม่ทอ โดยนายวันเฉลิม ศรีภุยเดช  📍ร้อยเอ็ด 🧵ประเภทผ้าเทคนิคสร้างสรรค์✅ สร้างสรรค์ไหมมัดหมี่ ใต้ร่มพระบารมีสิริราชพัสตราภรณ์ กลุ่มที จัตุวัน ไทยซิลค์ โดยนายทวีศักดิ์ จัตุวัน  📍กาฬสินธุ์ 🧵ประเภทผ้าจากกลุ่มชาติพันธุ์ เพื่องอุบะดอกไม้ถวายราชนารี กลุ่มผ้าทอลายมงคลมนตราธิกาญจน์ โดยนายจักรวรรดิวัตร ปรีจำรัส 🧵ประเภทผ้าแพรวา สิริราชพัสตราภรณ์ กลุ่มชุมชนภูไทดำ โดยนายพงษ์ชยุตน์ โพนะทา  🧵ประเภทผ้ายกเล็ก สิริราสพัตราภรณ์อาภรณ์แห่งความรักภักดี กลุ่มผ้าทอลายมงคลมนตราธิกาญจน์ โดยนายจักรวรรดิวัตร ปรีจำรัส 📍สุรินทร์ 🧵ประเภทผ้าจก/ผ้าตีนจก มยุราสิริราชพัสตราภรณ์ กลุ่มทอผ้าหัสดินทร์ โดยนายภณพล คิดสำราญ 🧵ประเภทผ้ามัดหมี่ 2 ตะกอ สิริราชพัสตราภรณ์ กลุ่มเจริญกิจนิยมชื่อ โดยนายเจริญกิจ นิยมชื่อ 📍บุรีรัมย์ 🧵ประเภทผ้ามัดหมี่ 3 ตะกอ ขึ้นไป สิริราชพัสตราภรณ์ กลุ่มทอผ้าไหมบ้านทุ่งสว่าง โดยนายธีรเดช กลายไพร 📍ชัยภูมิ 🧵ประเภทผ้าหมี่ข้อ/หมี่คั่น มยุรสิริชมดอกพุดตาน กลุ่มไหมมีชัย โดยนายเนติพงศ์ กระแสโสม โดยผู้ชนะรางวัลทั้งหลายจะเข้ารับพระราชทานเหรียญรางวัลในงาน Silk Festival ช่วงเดือนธันวาคม 2568 ซึ่งนับเป็นโอกาสสำคัญที่จะเชื่อมโยงผลงานหัตถกรรมเข้ากับผู้ชมวงกว้างและตลาดที่มีศักยภาพต่อไป งานประกวดครั้งนี้ไม่ได้เป็นแค่เพียงเวทีโชว์ฝีมือเท่านั้น แต่ยังเป็นการฟื้นฟูและการถ่ายทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นในระดับชาติ ไม่ว่าจะเป็นการที่ผลงานจากชุมชนต่างจังหวัดได้รับการยกย่องเป็นสัญญาณว่าระบบการเรียนรู้และการรวมกลุ่มผลิตภัณฑ์ยังมีความเข้มแข็ง จากการรวมกลุ่มทอผ้า กระบวนการถ่ายทอดทักษะจากรุ่นสู่รุ่น และการออกแบบลายที่ตอบโจทย์ทั้งเชิงสุนทรียะและการตลาด อีกทั้งเป็นการเชื่อมโยงลวดลายกับตราสัญลักษณ์พระราชลักษณ์ (สิริราชพัสตราภรณ์) สร้างคุณค่าทางสัญลักษณ์ที่ช่วยยกระดับมูลค่าผลิตภัณฑ์ ทำให้ช่างท้องถิ่นมีพื้นที่ในตลาดสินค้าหัตถกรรมที่ต้องการตราประทับคุณภาพและเรื่องเล่า ทั้งนี้ ยังเปิดช่องให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์เชิงนวัตกรรมที่ผสานเทคนิคดั้งเดิมกับความต้องการผู้บริโภคยุคใหม่อีกด้วย   อ้างอิงจาก: […]

อีสานบ้านเฮาสุดปัง! 6 จังหวัดคว้ารางวัลใหญ่ การประกวดผ้าลายพระราชทาน “สิริราชพัสตราภรณ์” ปี 68 อ่านเพิ่มเติม »

พาเลาะเบิ่ง ประชากรสุนัขและแมวที่มีเจ้าของในอีสาน พร้อมส่องเทรนด์ “ธุรกิจสัตว์เลี้ยง” 

ในยุคที่สัตว์เลี้ยงไม่ได้เป็นเพียงเพื่อนคลายเหงาเท่านั้น แต่ยังกลายเป็น “สมาชิกคนหนึ่งในครอบครัว” ธุรกิจสัตว์เลี้ยงของไทยกำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบี คาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดสัตว์เลี้ยงไทยในปี 2568 จะเพิ่มขึ้นแตะ 9.2 หมื่นล้านบาท หรือขยายตัวกว่า 13.2% จากปีก่อนหน้า และมีแนวโน้มทะลุแสนล้านบาทในปี 2569 การเติบโตนี้สะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนผ่านทางสังคมจากการ “เลี้ยงเพื่ออยู่ร่วม” ไปสู่ “การเลี้ยงเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต” ภายใต้กระแส Pet Humanization ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังพบว่า มีคนไทยกว่า 65% มีสัตว์เลี้ยงในบ้าน และใช้จ่ายเฉลี่ยมากกว่า 50,500 บาทต่อปีต่อสัตว์หนึ่งตัว เพิ่มขึ้นกว่า 22.9% จากปีก่อน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมของกลุ่มเจ้าของสัตว์เลี้ยงยุคใหม่ที่พร้อมทุ่มงบให้สัตว์เลี้ยงมีคุณภาพชีวิตดีราวกับคนในครอบครัว หรือที่เรียกกันว่า “ทาสหมา-ทาสแมว” กำลังกลายเป็นหนึ่งในพลังทางเศรษฐกิจสำคัญในระดับประเทศ    “ธุรกิจสัตว์เลี้ยง” ในภาคอีสาน ภาคอีสานถือเป็นตลาดใหม่ที่ยังเปิดกว้างของธุรกิจสัตว์เลี้ยง โดยมีอัตราการเลี้ยงสัตว์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลที่ได้นำเสนอไปในหลายจังหวัด อย่างเช่น นครราชสีมามีสุนัขกว่า 271,737 ตัวและแมวกว่า 132,427 ตัว, อุบลราชธานีมีสุนัขมากถึง 186,808 ตัว สุรินทร์และกาฬสินธุ์ก็มีสัตว์เลี้ยงรวมหลักแสนตัวต่อจังหวัดอีกด้วย ตัวเลขเหล่านี้ไม่ได้แสดงให้เห็นเพียงความนิยมในการเลี้ยงสัตว์เท่านั้น แต่ยังแสดงถึงเศรษฐกิจอีสานยุคใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยความรัก ความผูกพัน และกำลังซื้อของคนรุ่นใหม่ที่มีกำลังจ่ายสูงขึ้นนั่นเอง ซึ่งธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องนั่นก็มีมากมาย อย่าง เช่น อาหารสัตว์เลี้ยง บริการรักษา โรงแรมสัตว์เลี้ยง ร้านคาเฟ่ และบริการสปา จึงเริ่มปรากฏให้เห็นชัดเจนในหัวเมืองใหญ่ของอีสาน เช่น ขอนแก่น อุบลราชธานี และนครราชสีมา ซึ่งกลายเป็นศูนย์กลางของการจับจ่ายและบริการที่เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงครบวงจรนั่นเอง และยังพบสิ่งที่น่าสนใจคือ ภาคอีสานซึ่งมีสัดส่วนผู้ประกอบการธุรกิจสัตว์เลี้ยงเพียง 6-7% ของประเทศ แสดงให้เห็นถึงการกำลังกลายเป็นฐานเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่ยังมีช่องว่างให้เติบโตอีกมหาศาล ด้วยโครงสร้างประชากรเกือบ 22 ล้านคน และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เริ่มเปลี่ยนจากสังคมเกษตรสู่วิถีเมืองมากขึ้น โดยร้านอาหาร คาเฟ่ โรงแรม และศูนย์การค้าหลายแห่งเริ่มปรับตัวให้บริการแบบ “Pet Friendly” เพื่อรองรับกลุ่มผู้เลี้ยงสัตว์ที่นิยมพาสัตว์เลี้ยงออกนอกบ้านเสมือนเพื่อนร่วมชีวิต การเปลี่ยนแปลงเป็นการขยายโอกาสทางเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ ทั้งธุรกิจคลินิกสัตว์เฉพาะทาง โรงแรมสัตว์เลี้ยง ร้านอาหารสัตว์เลี้ยง และการท่องเที่ยวเชิงสัตว์เลี้ยง (Pet Tourism) ที่สามารถสร้างรายได้หมุนเวียนและงานใหม่ในระดับท้องถิ่นนั่นเอง   ธุรกิจสัตว์เลี้ยงไทยแบ่งออกเป็นสามกลุ่มหลักที่ต่างได้รับแรงหนุนจากกระแส Pet Humanization ได้แก่ กลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงที่คาดว่ามีมูลค่าสูงถึง 6.24 หมื่นล้านบาทในปี 2568 เติบโต 16.5% จากปีก่อน ด้วยความนิยมของอาหารเกรดพรีเมียมและอาหารสุขภาพเฉพาะทาง (Functional Pet Food) ซึ่งตอบโจทย์การดูแลสุขภาพสัตว์เลี้ยงเชิงป้องกัน ขณะที่กลุ่มบริการรักษาพยาบาลสัตว์มีมูลค่าเพิ่มต่อเนื่องแตะ 6.99 พันล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 17.9% ต่อปี จากความตระหนักของเจ้าของสัตว์ที่มองการรักษาเป็นภาระจำเป็นเทียบเท่าการดูแลคนในครอบครัว ส่วนกลุ่มอุปกรณ์สัตว์เลี้ยงและของใช้ต่างๆ มีมูลค่าราว 2.13 หมื่นล้านบาท แม้เติบโตในอัตราต่ำกว่า (ประมาณ 6%) แต่กลับมีบทบาทสำคัญต่อการสร้างภาพจำของสัตว์เลี้ยงในเชิงไลฟ์สไตล์ โดยเฉพาะกระแส “Petfluencer” หรือสัตว์เลี้ยงที่มีชื่อเสียงในโลกออนไลน์

พาเลาะเบิ่ง ประชากรสุนัขและแมวที่มีเจ้าของในอีสาน พร้อมส่องเทรนด์ “ธุรกิจสัตว์เลี้ยง”  อ่านเพิ่มเติม »

เปิดบันทึกเส้นทาง “สมเด็จพระพันปีหลวง” เสด็จเยือนดินแดนอีสาน

เส้นทางเสด็จพระราชดำเนินของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในภาคอีสานบ้านเรา คือบทบันทึกแห่งพระมหากรุณาธิคุณที่ลึกซึ้งและยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์สังคมไทย พระองค์ทรงเสด็จเยือนถิ่นอีสานไม่เพียงเพื่อทอดพระเนตรความเป็นอยู่ของประชาชนเท่านั้น แต่ยังเพื่อ “ร่วมลงมือแก้ปัญหา” ของชาวบ้านอย่างแท้จริง ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม เส้นทางเสด็จแต่ละจังหวัดจึงเปรียบเสมือนแผนที่แห่งความเมตตา ที่เชื่อมโยงหัวใจของพระราชินีกับประชาชนผู้ยากไร้ทั่วผืนแผ่นดินอีสานนั่นเอง ตลอดระยะเวลาหลายทศวรรษ พระองค์ทรงมีพระราชดำริให้จัดตั้ง ศูนย์ศิลปาชีพและโครงการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ขึ้นทั่วภาคอีสาน อย่างเช่น ศูนย์ศิลปาชีพบ้านกุดนาขาม จังหวัดสกลนคร, ศูนย์ส่งเสริมผ้าไหมบ้านโนนกอก จังหวัดขอนแก่น และศูนย์ศิลปาชีพบ้านนาเชือก จังหวัดมหาสารคาม และอื่นๆอีกนับไม่ถ้วน พระราชดำริเหล่านี้ไม่เพียงเป็นการส่งเสริมทักษะอาชีพให้ประชาชน แต่ยังเป็นการ “สร้างเกียรติและศักดิ์ศรี” แห่งความเป็นชาวอีสาน ผ่านงานหัตถกรรม ผ้าไหม และการทอผ้าพื้นเมืองที่กลายเป็นอัตลักษณ์ระดับชาติ พระพันปีหลวงทรงมองเห็นปัญหาความยากจนของอีสานอย่างทะลุปรุโปร่ง พระองค์ไม่ได้เพียงประทานพระราชทรัพย์ช่วยเหลือเฉพาะหน้า แต่ทรงวางรากฐานการพัฒนาที่ยั่งยืน อย่างเช่น โครงการส่งเสริมเกษตรผสมผสานในจังหวัดร้อยเอ็ดและสุรินทร์, โครงการฟื้นฟูอาหารช้างป่าในบุรีรัมย์, หรือ โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ ซึ่งสะท้อนแนวพระราชดำริ “คนอยู่ได้ ป่าอยู่ได้” อันเป็นรากฐานของแนวคิดการพัฒนาแบบพอเพียงในเวลาต่อมา เส้นทางเสด็จในภาคอีสานยังเป็นปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมที่เปลี่ยนโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่าง “รัฐ” กับ “ประชาชนท้องถิ่น” จากความห่างเหิน กลายเป็นความผูกพันแน่นแฟ้น พระองค์ทรงเป็น “สะพานแห่งความเข้าใจ” ที่ทำให้เสียงของชาวบ้านถูกได้ยินในระดับชาติ ผ่านการนำเสนอวิถีชีวิต ภูมิปัญญา และศิลปหัตถกรรมพื้นถิ่นเข้าสู่สายตาของโลกอีกด้วย เส้นทางแห่งพระเมตตานี้จึงเป็นรากฐานของแนวทาง “การพัฒนาอีสานอย่างยั่งยืน” ซึ่งหน่วยงานภาครัฐและท้องถิ่นยังคงสานต่อจนถึงปัจจุบันนั่นเอง ทุกแห่งหนที่พระองค์เสด็จผ่าน ล้วนทิ้งไว้ซึ่ง “รอยพระบาทแห่งการพัฒนา” และ “รอยพระหฤทัยแห่งความรัก” ที่ไม่เพียงเปลี่ยนชีวิตของผู้คนเท่านั้น แต่ยังเปลี่ยนโฉมหน้าของภาคอีสานให้ก้าวสู่ยุคใหม่อย่างมีศักดิ์ศรีและความหวัง ซึ่งพระราชกรณียกิจทั้งหมดนี้นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่ไม่มีวันเลือนหายจากใจคนอีสานตลอดไป อ้างอิงจาก: – สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) – มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ – มูลนิธิชัยพัฒนา – สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี – สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #สมเด็จพระพันปีหลวง #เสด็จเยือนดินแดนอีสาน #พระราชกรณียกิจ

เปิดบันทึกเส้นทาง “สมเด็จพระพันปีหลวง” เสด็จเยือนดินแดนอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

พาเปิด “พระราชกรณียกิจสำคัญ” สมเด็จพระพันปีหลวง ที่เปลี่ยนชีวิตคนอีสาน

🧵โครงการส่งเสริมศิลปาชีพ ได้เป็นรากฐานเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของอีสาน โครงการส่งเสริมศิลปาชีพในภาคอีสาน โดยเฉพาะ “ผ้าไหมมัดหมี่” จังหวัดนครพนม และ “ผ้าไหมแพรวา” จังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นตัวอย่างของการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากที่ใช้ทุนทางวัฒนธรรมเป็นเครื่องมือสำคัญ พระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้ฟื้นฟูภูมิปัญญาการทอผ้าไหมพื้นบ้านให้กลับมามีมาตรฐานระดับสากล และกลายเป็นอัตลักษณ์ที่ชาวอีสานภาคภูมิใจ จนได้รับสมญานาม “ราชินีแห่งไหมไทย” “ผ้าไหมไทย” ไม่ได้เป็นเพียงสินค้าหัตถกรรมเท่านั้น แต่กลายเป็รเครื่องมือของการกระจายรายได้สู่ครัวเรือนชนบท โดยเฉพาะกลุ่มสตรีและผู้สูงอายุที่มีทักษะการทอผ้าอยู่แล้ว การส่งเสริมให้เกิดการออกแบบร่วมสมัยและการตลาดเชิงสร้างสรรค์ (Creative Economy) ช่วยให้ผ้าไหมกลายเป็นสินค้าพรีเมียมที่มีมูลค่าสูงขึ้น อีกทั้งยังสร้างโอกาสการเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ซึ่งกำลังเติบโตในภาคอีสานอย่างต่อเนื่อง   🌳โครงการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นการอยู่ร่วมกับป่าอย่างยั่งยืน เป็นอีกหนึ่งพระราชดำริสำคัญคือโครงการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ริเริ่มแนวคิดให้ “คนอยู่ร่วมกับป่าได้อย่างยั่งยืน” โดยมีพื้นที่นำร่องในจังหวัดนครพนมและยโสธร อย่างเช่น “บ้านเล็กในป่าใหญ่” ซึ่งเป็นแบบจำลองของการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างรู้คุณค่า ร่วมกับการสร้างรายได้จากอาชีพเสริม เช่น การปลูกไม้ผล การทำเกษตรอินทรีย์ และการท่องเที่ยวเชิงนิเวศนั่นเอง โครงการนี้ล้วนเป็น “จุดเปลี่ยนของแนวคิดอนุรักษ์แบบมีส่วนร่วม” ที่ยกระดับจากการควบคุมทรัพยากรโดยรัฐ มาสู่การจัดการร่วมกับชุมชน ซึ่งช่วยลดความขัดแย้งระหว่างการอนุรักษ์กับการดำรงชีพ อย่างไรก็ตาม ความยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้จริงก็ต่อเมื่อมีการพัฒนากลไกเศรษฐกิจสีเขียว เช่น คาร์บอนเครดิต การรับรองสินค้าป่าไม้ และการพัฒนาแบรนด์สินค้าท้องถิ่นเชิงนิเวศ เพื่อให้คนในชุมชนเห็นคุณค่าของป่าในเชิงเศรษฐกิจมากพอที่จะปกป้องทรัพยากรด้วยตนเอง   🏥ด้านสาธารณสุขและการแพทย์ ยกระดับคุณภาพชีวิตและทุนมนุษย์ของอีสานฃ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงให้ความสำคัญกับการดูแลผู้ป่วยในพระราชานุเคราะห์ และการขยายบริการทางการแพทย์ไปยังพื้นที่ห่างไกล หนึ่งในตัวอย่างสำคัญคือ “ศูนย์หัวใจสิริกิติ์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการรักษาโรคหัวใจและโรคซับซ้อนให้แก่ประชาชนในภาคอีสาน การเกิดขึ้นของ ศูนย์การแพทย์นี้ไม่ได้มีบทบาทเพียงด้านสุขภาพเท่านั้น แต่ยังเป็น “ศูนย์กลางความรู้” ที่ยกระดับศักยภาพของบุคลากรทางการแพทย์ในภูมิภาค และลดความเหลื่อมล้ำด้านบริการสุขภาพในชนบท นอกจากนี้ การเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานแพทย์กับโครงการศิลปาชีพและสิ่งแวดล้อม ยังช่วยสร้างระบบนิเวศสุขภาพชุมชน (Community Health Ecosystem) ที่ทำให้คนอีสานมีสุขภาพกายและใจเข้มแข็ง พร้อมพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นไปพร้อมกัน 🔎จากโครงการพระราชดำริสู่โมเดลพัฒนาอีสานยั่งยืน จะเห็นได้ว่า พระราชดำริของสมเด็จพระพันปีหลวงคือ “ต้นแบบของการพัฒนาแบบองค์รวม” (Holistic Development) ที่มุ่งสร้างทุนมนุษย์ ทุนวัฒนธรรม และทุนสิ่งแวดล้อมให้เชื่อมโยงกันอย่างสมดุลนั่นเอง     อ้างอิงจาก: – กรมส่งเสริมศิลปาชีพ – กรุงเทพธุรกิจ – สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) – มหาวิทยาลัยขอนแก่น – Journal of Rural Development – กระทรวงสาธารณสุข – กรมป่าไม้ – ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ – ศูนย์หัวใจสิริกิติ์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy

พาเปิด “พระราชกรณียกิจสำคัญ” สมเด็จพระพันปีหลวง ที่เปลี่ยนชีวิตคนอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

พาย้อนเวลาไปเบิ่ง “อาหารอีสานเก่าแก่” ที่กำลังจะถูกลืม⁉️

อาหารอีสานไม่ใช่เพียงรสชาติอันจัดจ้านที่ทำให้คนไทยจดจำได้เท่านั้น แต่คือภาพสะท้อนของภูมิปัญญาชาวบ้านที่อยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างกลมกลืน คนอีสานได้สร้างสรรค์อาหารจากสิ่งรอบตัว ทั้งพืชป่า แมลง และวัตถุดิบเฉพาะฤดูกาล กลายเป็นระบบอาหารที่ยั่งยืนในตัวเอง ความโดดเด่นของอาหารอีสานจึงอยู่ที่ “ความรู้เชิงนิเวศน์” ที่สั่งสมมาหลายชั่วอายุคน ตั้งแต่เทคนิคการกำจัดพิษในพืชบางชนิด การถนอมอาหารด้วยการหลาม คั่ว หรือตากแห้ง ไปจนถึงการใช้วัตถุดิบตามฤดูกาลเพื่อสร้างความหลากหลายทางโภชนาการ เมื่อย้อนกลับไปดูอาหารพื้นบ้านดั้งเดิม หลายเมนูในอีสานกำลังจางหายไปพร้อมกับผู้เฒ่าผู้แก่ “คั่วขูลู” หรือหนอนใบตองกล้วย คือของกินเล่นที่ใช้หนอนจากหลอดใบกล้วยมาคั่วให้หอม เป็นอาหารที่คนรุ่นก่อนถือว่าเลอค่าและเต็มไปด้วยโปรตีน ส่วน “ซุปดอกผักติ้ว” อาหารรสเปรี้ยวอมมันจากดอกผักติ้วที่มีเฉพาะช่วงหน้าแล้ง ก็สะท้อนความรู้เกี่ยวกับพืชป่าและฤดูกาลอย่างละเอียดอ่อน เช่นเดียวกับ “คั่วสี่จี” ที่สะท้อนวิถีการบริโภคแมลงพื้นถิ่นที่มีโปรตีนสูงและเป็นส่วนหนึ่งของความมั่นคงทางอาหารในอดีต ขณะที่ “หลามปลาไข่มดแดง” ถือเป็นอาหารประจำฤดูร้อนที่รวมศิลปะการปรุงและเทคนิคถนอมอาหารไว้ในกระบอกไม้ไผ่ ส่วน “กุดจี่เบ้า” หรือแมงกุดจี่เบ้า เป็นอาหารจากตัวอ่อนแมลงในมูลสัตว์ที่หากินได้เพียงปีละครั้ง และ “แกงต้นบุก” กับ “กลอย” ก็แสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาในการกำจัดพิษจากพืชพิษก่อนนำมาปรุงอย่างปลอดภัย อาหารเหล่านี้เองค่อยๆ สูญหายไปเพราะค่านิยมสมัยใหม่และการเปลี่ยนแปลงทางสิ่งแวดล้อม คนรุ่นใหม่จำนวนมากมองว่าอาหารเหล่านี้ “บ้านนอก” หรือ “ไม่สะอาด” ทำให้การถ่ายทอดความรู้เรื่องการปรุง การเก็บ และการแปรรูปวัตถุดิบลดลงอย่างน่าเป็นห่วง การสูญเสียอาหารพื้นบ้านจึงไม่เพียงหมายถึงการหายไปของรสชาติ แต่ยังเป็นการสูญเสียองค์ความรู้ด้านการจัดการทรัพยากร ความมั่นคงทางอาหาร และอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจและสังคม หากมองในเชิงเศรษฐกิจ อาหารอีสานเก่าแก่สามารถต่อยอดเป็นทุนวัฒนธรรม เพื่อสร้างรายได้แก่ชุมชนได้ ทั้งในรูปแบบการท่องเที่ยวเชิงอาหาร (food tourism) หรือการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์พื้นบ้าน (OTOP) การอนุรักษ์จึงไม่ควรจำกัดอยู่ที่การเก็บสูตรเท่านั้น แต่ต้องรวมถึงการบันทึกองค์ความรู้ การวิจัยคุณค่าทางโภชนาการ และการสร้างระบบเศรษฐกิจที่ให้ชุมชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง เพราะสุดท้ายแล้ว “อาหารเก่า” เหล่านี้คือหลักฐานทางวัฒนธรรมที่บอกเล่าความสัมพันธ์ระหว่างคนกับธรรมชาติ ซึ่งหากปล่อยให้ถูกลืม ย่อมเท่ากับเราสูญเสียรากทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาที่อาจเป็นคำตอบของการพัฒนาอาหารในอนาคตนั่นเอง     อ้างอิงจาก: – กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม – อาหารป่าและความมั่นคงทางอาหารของชุมชนอีสาน สำนักวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยขอนแก่น. – ภูมิปัญญาการบริโภคแมลงของชาวอีสานกับแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจฐานชีวภาพ วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น – อาหารพื้นบ้านกับการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย วารสารศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, – UNESCO Bangkok – ภูมิปัญญาอาหารพื้นถิ่นกับการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในภาคอีสาน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #อาหารอีสาน #อาหารป่า #อาหารถิ่นอีสาน #อาหารหายาก #อาหารเก่าแก่

พาย้อนเวลาไปเบิ่ง “อาหารอีสานเก่าแก่” ที่กำลังจะถูกลืม⁉️ อ่านเพิ่มเติม »

พาเปิดเบิ่ง ความจริงที่น่าตกใจ! “พยาบาลอีสาน” แบกรับภาระหนักสุดในประเทศ

ในปี 2567 สัดส่วนพยาบาลต่อประชากรภาคอีสาน อยู่ที่พยาบาล 1 คนต่อจำนวนประชากร 434 คน ซึ่งสัดส่วนจำนวนพยาบาลในภาคอีสานแต่ละจังหวัดกลับมีตัวเลขที่น่าเป็นห่วงเป็นอย่างมาก เพราะ WHO หรือองค์การอนามัยโลกได้แนะนำสัดส่วนมาตรฐานเอาไว้ โดยกำหนดว่าสัดส่วนที่เหมาะสมคือ พยาบาล 1 คนต่อจำนวนประชากร 200 คน นั่นเอง โดย 5 จังหวัดแรกที่พยาบาลแบกรับภาระมากที่สุด หนองบัวลำภู มีสัดส่วนพยาบาล 1 คนต่อจำนวนประชากร 679 คน บึงกาฬ มีสัดส่วนพยาบาล 1 คนต่อจำนวนประชากร 574 คน ชัยภูมิ มีสัดส่วนพยาบาล 1 คนต่อจำนวนประชากร 553 คน นครพนม มีสัดส่วนพยาบาล 1 คนต่อจำนวนประชากร 537 คน ศรีสะเกษ มีสัดส่วนพยาบาล 1 คนต่อจำนวนประชากร 536 คน สำหรับในจังหวัดที่พยาบาลแบกรับภาระน้อยที่สุดนั้น คือ จังหวัดขอนแก่น โดยมีสัดส่วนพยาบาล 1 คนต่อจำนวนประชากรเพียงแค่ 258 คน ซึ่งถือว่ามีสัดส่วนพยาบาลที่ไม่ห่างจากสัดส่วนมาตรฐานมากนัก   🩺พยาบาลอีสาน แบกรับภาระหนักสุดในประเทศ จังหวัดในภาคอีสานจำนวนมากกำลังเผชิญ “วิกฤตบุคลากรทางการแพทย์” อย่างรุนแรง หนึ่งในนั้นคือพยาบาล จังหวัดหนองบัวลำภูแบกรับประชาชนต่อพยาบาลสูงสุดถึง 679:1 บึงกาฬ 574:1 และชัยภูมิ 553:1 ซึ่งนับเป็นสัดส่วนที่หนักที่สุดในประเทศ สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างของภาคอีสาน ที่แม้ประชากรจะมีจำนวนมากแต่กลับขาดการกระจายทรัพยากรอย่างเท่าเทียมนั่นเอง สาเหตุสำคัญที่ทำให้พยาบาลในจังหวัดเหล่านี้ต้องแบกรับภาระคนไข้จำนวนมาก มาจากความเหลื่อมล้ำเชิงเศรษฐกิจที่เรื้อรัง จังหวัดที่มีภาระสูงมักเป็นจังหวัดที่มีรายได้เฉลี่ยต่อหัวต่ำ อย่างเช่น หนองบัวลำภูและบึงกาฬ ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมและยังพึ่งพาระบบสาธารณสุขของรัฐเป็นหลัก ภาระของโรงพยาบาลรัฐจึงพุ่งสูง ขณะที่งบประมาณและจำนวนบุคลากรกลับไม่ขยายตัวตามจำนวนประชากร  นอกจากนี้ ยังเกิดภาวะ “สมองไหล” ของบุคลากรทางการแพทย์จากพื้นที่ชนบทเข้าสู่จังหวัดใหญ่ เช่น ขอนแก่น หรืออุบลราชธานี ซึ่งมีโรงพยาบาลศูนย์ มหาวิทยาลัยแพทย์ และโอกาสทางอาชีพที่มั่นคงกว่า พยาบาลในพื้นที่ห่างไกลจึงต้องทำงานเกินกำลังจนส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและคุณภาพการบริการในระยะยาวนั่นเอง ในอีกด้านหนึ่ง ความอ่อนแอของโครงสร้างเศรษฐกิจท้องถิ่นยังมีผลโดยตรงต่อระบบสุขภาพ เมื่อเศรษฐกิจจังหวัดไม่เติบโต โรงพยาบาลก็ขาดงบประมาณ ขาดเครื่องมือแพทย์ และขาดแรงจูงใจให้คนรุ่นใหม่กลับมาทำงานในบ้านเกิด ปัญหานี้จึงไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของสาธารณสุข แต่เป็นภาพสะท้อนความไม่เท่าเทียมทางการพัฒนา ระหว่างเมืองศูนย์กลางกับเมืองรองในภาคอีสาน ขณะที่จังหวัดขอนแก่นกลับตรงข้าม ด้วยอัตราประชาชนต่อพยาบาลเพียง 258:1 เพราะเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การศึกษา และการแพทย์ของภูมิภาค มีโรงเรียนพยาบาลและสถาบันฝึกอบรมจำนวนมาก จึงดึงดูดบุคลากรคุณภาพสูงและงบประมาณได้มากกว่า อย่างไรก็ตาม การที่พยาบาลอีสานจำนวนมากยังคงทำงานหนักภายใต้ทรัพยากรจำกัด ถือเป็นพลังเชิงบวกที่น่าชื่นชม พวกเขาไม่เพียงรักษาผู้ป่วยเท่านั้น โดยเฉพาะช่วงหลังโควิด-19 พยาบาลท้องถิ่นมีบทบาทสำคัญในการดูแลผู้สูงอายุ การรณรงค์วัคซีน และการให้ความรู้ด้านสุขภาพอีกด้วย ปัญหาพยาบาลขาดแคลนในอีสานไม่ใช่เพียงตัวเลขเท่านั้น แต่คือภาพสะท้อนของ “ความไม่เท่าเทียมเชิงโครงสร้าง” ที่ยังฝังลึกในระบบเศรษฐกิจและสังคมไทย จังหวัดที่พยาบาลต้องดูแลประชาชนหลายร้อยชีวิตต่อคน มักเป็นจังหวัดที่ขาดโอกาสทางเศรษฐกิจ ขณะที่จังหวัดที่มีฐานเศรษฐกิจมั่นคงย่อมมีระบบสุขภาพที่เข้มแข็งกว่า ดังนั้น หากประเทศไทยต้องการสร้างความยั่งยืนอย่างแท้จริง

พาเปิดเบิ่ง ความจริงที่น่าตกใจ! “พยาบาลอีสาน” แบกรับภาระหนักสุดในประเทศ อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง “ฮอลล์จัดคอนเสิร์ตในอีสาน” ไม่ใช่แค่ที่บันเทิง แต่คือ “เครื่องจักรกระตุ้นเศรษฐกิจ” 

ฮอลล์จัดคอนเสิร์ตและอีเวนต์ในภาคอีสาน ไม่ได้เป็นเพียงพื้นที่แห่งความสนุกเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการหมุนเวียนรายได้ สร้างงานให้คนท้องถิ่น และดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วประเทศ สะท้อนศักยภาพของเมืองใหญ่ในอีสานที่พร้อมก้าวสู่ศูนย์กลางเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) อย่างเต็มรูปแบบ 🎵KICE – Khon Kaen International Convention and Exhibition Center📍ขอนแก่น ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติขนาดใหญ่ระดับภาคอีสาน ที่รองรับการจัดคอนเสิร์ตและอีเวนต์นานาชาติได้หลายหมื่นคน เป็นหัวใจของ “อีเวนต์อีโคโนมี” เมืองขอนแก่น 🎵Khonkaen Hall – เซ็นทรัล ขอนแก่น📍ขอนแก่น ศูนย์ประชุมอเนกประสงค์ภายในห้างฯ ที่รองรับงานคอนเสิร์ต งานสัมมนา และกิจกรรมแบรนด์ระดับภูมิภาค เป็นจุดรวมของคนรุ่นใหม่และนักท่องเที่ยว 🎵Terminal Hall – เทอร์มินอล 21 โคราช📍นครราชสีมา ฮอลล์ในร่มสุดทันสมัย เหมาะสำหรับคอนเสิร์ตขนาดกลางถึงใหญ่ และอีเวนต์ทัวร์ของศิลปินชื่อดัง ช่วยกระตุ้นธุรกิจท่องเที่ยวและบริการในเมืองโคราชอย่างต่อเนื่อง 🎵Korat Hall – เซ็นทรัล โคราช📍นครราชสีมา หนึ่งในฮอลล์ใหญ่ที่สุดของอีสานตอนล่าง รองรับผู้ชมได้หลายพันคน เป็นที่จัดงานทัวร์คอนเสิร์ตและแฟนมีตของศิลปินไทยและต่างประเทศ อย่างเช่น RUSSELL PETERS ACT YOUR AGE World Tour สร้างกระแสการเดินทางและการใช้จ่ายในเมืองแบบเห็นได้ชัดนั่นเอง 🎵Udon Thani Hall – เซ็นทรัล อุดรธานี📍อุดรธานี ศูนย์จัดคอนเสิร์ตและอีเวนต์ทัวร์สำคัญของอีสานตอนบน มีบทบาทในการดึงดูดผู้ชมจากจังหวัดใกล้เคียง ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจเมืองท่องเที่ยวชายแดนไทย–ลาว 🎵Ubon Hall – เซ็นทรัล อุบลราชธานี📍อุบลราชธานี ฮอลล์จัดงานครบวงจร รองรับทั้งงานแสดงสินค้า สัมมนา คอนเสิร์ต และอีเวนต์บันเทิง เป็นเวทีสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้คนในพื้นที่และจังหวัดรอบข้าง   อย่างไรก็ตาม “คอนเสิร์ต” ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงภายในฮอลล์หรือศูนย์ประชุมขนาดใหญ่เท่านั้น แต่ยังมีการจัดงานแบบ กลางแจ้ง ในหลายพื้นที่ทั่วภาคอีสาน โดยเฉพาะพื้นที่กลางแจ้งในเขาใหญ่และภาคอีสานตอนล่างก็ถือเป็นทำเลทองของเทศกาลดนตรีระดับประเทศที่ดึงดูดผู้คนจากทั่วประเทศให้หลั่งไหลเข้ามาสร้างสีสันทางเศรษฐกิจอย่างคึกคัก ไม่ว่าจะเป็น “ทองสมบูรณ์คลับ เขาใหญ่” หรือพื้นที่ใกล้เคียงซึ่งถูกใช้จัดงานใหญ่ระดับตำนานอย่างเช่น Big Mountain Music Festival ที่กลายเป็นแม่เหล็กสำคัญในการกระตุ้นการท่องเที่ยวและรายได้ของชุมชนโดยรอบ แม้จะอยู่นอกเขตอำเภอเมืองโคราชก็ตาม ขณะเดียวกัน ภาคอีสานตอนบนเองก็ไม่น้อยหน้า หลายเทศกาลดนตรีชื่อดัง อย่างเช่น “เฉียงเหนือเฟส” และ “E-san Music Festival” ต่างเลือกใช้พื้นที่กลางแจ้งขนาดใหญ่ เช่น บริเวณ บขส. 3 ขอนแก่น หรือ ริมเขื่อนอุบลรัตน์ ซึ่งสามารถรองรับผู้เข้าร่วมงานได้หลายหมื่นคน สะท้อนให้เห็นว่าพื้นที่กลางแจ้งของอีสานไม่เพียงเป็นเวทีแห่งเสียงเพลง แต่ยังเป็นเวทีแห่งการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของภูมิภาคอย่างแท้จริงนั่นเอง   คอนเสิร์ตและเทศกาลดนตรีจึงไม่ใช่เพียง “เวทีแห่งความบันเทิง” เท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องจักรสำคัญทางเศรษฐกิจ ที่ช่วยขับเคลื่อนรายได้ของชุมชนโดยรอบในหลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจโรงแรม ที่พัก ร้านอาหาร ผู้ให้บริการขนส่ง และผู้ประกอบการรายย่อยในพื้นที่ที่ต่างได้รับอานิสงส์โดยตรงจากการหลั่งไหลของผู้คนจำนวนมหาศาลนั่นเอง ตัวอย่างเช่น

พามาเบิ่ง “ฮอลล์จัดคอนเสิร์ตในอีสาน” ไม่ใช่แค่ที่บันเทิง แต่คือ “เครื่องจักรกระตุ้นเศรษฐกิจ”  อ่านเพิ่มเติม »

“ราคาทองคำ” ทะยานไม่หยุด พาเปิดเบิ่ง 10 ประเทศ “มหาเศรษฐีทองคำ” ไทยรั้งอันดับ 22 มีทองในมือเท่าไหร่?

ในยุคที่ระบบการเงินผันผวนและความไม่แน่นอนทางทางเศรษฐกิจเพิ่มสูงขึ้น “ทองคำ” ยังคงเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยที่สุด การจัดอันดับของ World Gold Council ชี้ให้เห็นว่า ประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่าง สหรัฐอเมริกา ถือครองทองคำกว่า 8,133 ตัน, เยอรมนี 3,351 ตัน, อิตาลี 2,452 ตัน และ ฝรั่งเศส 2,437 ตัน ต่างถือครองทองคำในปริมาณมหาศาลเพื่อใช้เป็นทุนสำรองประเทศ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและอำนาจทางการเงินที่เหนือชั้น ขณะที่ประเทศไทยแม้จะอยู่ในอันดับที่ 22 ของโลก แต่ก็ถือครองทองคำมากถึง 235 ตันเลยทีเดียว ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นว่าไทยยังคงใช้ทองคำเป็นเกาะป้องกันสำคัญในยามเศรษฐกิจโลกผันผวนนั่นเอง เมื่อมองย้อนกลับไปช่วง 10 ที่ผ่านมา ราคาทองคำขยับขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในปี 2568 ที่ราคาพุ่งแตะระดับ 62,300 บาท ซึ่งสูงสุดในรอบกว่า 10 ปี ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะความตื่นตระหนกของนักลงทุนเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงแรงกดดันเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจโลก ทั้งภาวะเงินเฟ้อ สงคราม และการชะลอตัวของตลาดทุนโลก ซึ่งทำให้ทองคำกลับมาเป็นสินทรัพย์ที่ทุกประเทศแย่งกันถือ ประเทศไทยของเรา ราคาทองคำที่พุ่งสูงนั้นต่างก็มีทั้งด้านบวกและด้านลบด้วยกัน ด้านผู้ที่ถือทองอยู่แล้วได้รับผลตอบแทนสูงขึ้น ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง สะท้อนถึงค่าของเงินบาทที่อ่อนลง และต้นทุนชีวิตที่สูงขึ้น สำหรับประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะในภาคอีสานของเราที่มีรายได้เฉลี่ยที่ค่อนข้างต่ำ อีสานอินไซต์จะขอการเปรียบเทียบให้เห็นภาพง่าย ๆ คือ เมื่อราคาทองคำแตะ 62,300 บาท ขณะที่ค่าแรงขั้นต่ำในหลายจังหวัดอีสานอยู่ราว 370-380 บาทต่อวัน หมายความว่าคนทำงานต้องใช้แรงกายกว่า 160 วัน เพื่อแลกทองคำ “หนึ่งบาท” อย่างไรก็ตาม ทองคำยังคงเป็นตัวชี้วัดทางความมั่นคงทางเศรษฐกิจของทั้งโลกและไทย การที่ไทยถือครองทองคำเพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เป็นสัญญาณว่าไทยกำลังสร้างเกราะป้องกันต่อวิกฤตการเงินโลกในอนาคต แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือการยกระดับรายได้ของประชาชน โดยเฉพาะในภาคอีสานให้สามารถ “ก้าวทันต้นทุนชีวิต” ที่สูงขึ้นด้วยเช่นกัน ไม่ว่างั้นทองคำจะยังคงเป็นเพียงสัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่งของบางกลุ่มมากกว่าจะเป็นตัวชี้วัดความมั่นคงที่ทุกคนได้ประโยชน์ร่วมกันนั่นเอง     อ้างอิงจาก: – World Gold Council – สมาคมค้าทองคำแห่งประเทศไทย   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #ทองคำ #ทองคำราคาพุ่ง #ราคาทองคำ #ทองคำแท่ง

“ราคาทองคำ” ทะยานไม่หยุด พาเปิดเบิ่ง 10 ประเทศ “มหาเศรษฐีทองคำ” ไทยรั้งอันดับ 22 มีทองในมือเท่าไหร่? อ่านเพิ่มเติม »

ฮู้บ่ว่า? “อุบล” และ “ศรีสะเกษ” ติด Top10 จังหวัดที่มีสัดส่วน “คนจน” มากสุดในประเทศ

ในปี 2567 ประเทศไทยมีคนจนเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 3.43 ล้านคน หรือ 4.89% ของประชากรทั้งหมด โดยเฉพาะในภาคอีสานที่ยังคงมี “สัดส่วนคนจนสูง” แม้เศรษฐกิจโดยรวมจะเริ่มฟื้นตัว แต่ความเปราะบางในระดับครัวเรือนกลับยิ่งชัดเจนขึ้น โดยจังหวัด อุบลราชธานี และ ศรีสะเกษ กลายเป็นตัวแทนของภาพเศรษฐกิจอีสานในปัจจุบัน ทั้งคู่ติดอันดับ Top 10 จังหวัดที่มีคนจนมากที่สุดของไทย โดยอุบลราชธานีมีสัดส่วนคนจนกว่า 20.34% ของประชากรทั้งหมดในจังหวัด ส่วนศรีสะเกษอยู่ที่ 14.08% สะท้อนให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้างที่ฝังรากลึก แม้จะอยู่ในภูมิภาคที่อุดมด้วยทรัพยากรและพรมแดนการค้า แต่ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจกลับไม่กระจายสู่ชุมชนอย่างเท่าเทียมนั่นเอง เศรษฐกิจอีสานส่วนใหญ่ยังพึ่งพาเกษตรกรรมเป็นหลัก แรงงานกว่าครึ่งหนึ่งทำงานอยู่ในภาคเกษตร โดยเฉพาะการทำนา ปลูกอ้อย มันสำปะหลัง และข้าวโพด สินค้าหลักที่สามารถสร้างรายได้กลับผันผวนและพึ่งพาธรรมชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความไม่แน่นอนของฝน ความเสียหายจากน้ำท่วมซ้ำซาก และต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น กลายเป็น “กับดักรายได้ต่ำ” ที่ทำให้เกษตรกรส่วนใหญ่ไม่สามารถสะสมทุนเพื่อหลุดพ้นจากความยากจนได้ อีกทั้งยังอยู่ท่ามกลางภาวะค่าครองชีพที่สูง รายได้ที่ไม่แน่นอน และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวยังไม่เต็มที่ ขณะเดียวกัน โอกาสทางเศรษฐกิจในอีสานยังถูกจำกัดด้วย โครงสร้างการลงทุนและโครงสร้างพื้นฐาน ที่ไม่เอื้อให้เกิดธุรกิจสมัยใหม่ การลงทุนภาคเอกชนยังคงกระจุกตัวในภาคกลางและภาคตะวันออก ขณะที่ภาคอีสานแม้จะมีศักยภาพทางภูมิศาสตร์มหาศาล โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดนอย่างมุกดาหาร หนองคาย และอุบลราชธานี ที่เชื่อมโยงกับ สปป.ลาวและกัมพูชา แต่การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษยังไม่ต่อยอดสู่ภาคอุตสาหกรรมหรือบริการได้อย่างแท้จริง . แรงงานจำนวนมากจึงเลือกเดินทางออกจากภูมิภาคไปทำงานในกรุงเทพฯ หรือระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) เพื่อหารายได้สูงกว่า ผลคือ “เศรษฐกิจท้องถิ่นขาดแรงหมุนเวียน” เงินรายได้จากแรงงานอีสานที่ส่งกลับบ้านในรูปของเงินโอน แม้จะช่วยเลี้ยงครัวเรือนในระยะสั้น แต่ไม่ได้สร้างการเติบโตในระยะยาว เมื่อคนหนุ่มสาวย้ายถิ่น แรงงานในพื้นที่จึงเหลือเพียงผู้สูงอายุและแรงงานไร้ทักษะ ซึ่งเป็นกลุ่มที่เปราะบางที่สุดในระบบเศรษฐกิจนั่นเอง อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ฉุดรั้งอีสานคือ โครงสร้างประชากรที่กำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันอีสานมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปกว่า 28.4% ของประชากรทั้งหมดในภูมิภาค ซึ่งหมายความว่าภาคแรงงานจะยิ่งหดตัวลง และภาระการดูแลสังคมจะเพิ่มขึ้น  เมื่อเศรษฐกิจพึ่งเกษตร รายได้ไม่แน่นอน การลงทุนต่ำ และโครงสร้างประชากรเปลี่ยน ซึ่งปัจจัยทั้งหมดนี้ได้กลายเป็น “วงจรความยากจนเชิงโครงสร้าง” ที่ทำให้ภาคอีสานของเราที่แม้จะมีศักยภาพ แต่ไม่อาจก้าวทันภูมิภาคอื่นของประเทศนั่นเอง อีสานมีศักยภาพมหาศาลทั้งด้านทรัพยากรธรรมชาติ แรงงาน วัฒนธรรม และภูมิรัฐศาสตร์ หากได้รับการพัฒนาอย่างมีทิศทาง อีสานจะไม่ใช่เพียง “ภูมิภาคแห่งความยากจน” อีกต่อไป แต่จะกลายเป็น “ภูมิภาคแห่งพลังใหม่ของเศรษฐกิจไทย” ที่เติบโตบนฐานความยั่งยืนและภูมิปัญญาท้องถิ่น   อ้างอิงจาก: – สำนักงานสถิติแห่งชาติ – สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. – ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ. – สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) – กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา – กรุงเทพธุรกิจ   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy

ฮู้บ่ว่า? “อุบล” และ “ศรีสะเกษ” ติด Top10 จังหวัดที่มีสัดส่วน “คนจน” มากสุดในประเทศ อ่านเพิ่มเติม »

วิกฤตการศึกษา‼️อีสานครองแชมป์ Top 10 ของประเทศ พาเปิดเบิ่ง 3 จังหวัดที่มีนักเรียนยากจนมากสุด

ประเทศไทยกำลังเผชิญกับ “วิกฤตทางการศึกษา” ที่ซ่อนอยู่ในเงามืดของความเหลื่อมล้ำทางสังคม ตัวเลขจากกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ปี 2567 พบว่า จังหวัดที่มีนักเรียนยากจนพิเศษมากที่สุดในประเทศกลับไม่ใช่เขตเศรษฐกิจหลัก แต่เป็นพื้นที่ชายขอบและชนบท อย่างเช่น แม่ฮ่องสอน นราธิวาส และโดยเฉพาะ ภาคอีสาน ที่ติดอันดับถึง 8 จังหวัดจาก 10 อันดับแรก ไม่ว่าจะเป็น นครพนม อำนาจเจริญ ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ ยโสธร มุกดาหาร ศรีสะเกษ และสกลนคร โดยเด็กในพื้นที่เหล่านี้กว่า 35-40% มาจากครัวเรือนยากจนพิเศษ ซึ่งหมายความว่าแทบทุก 3-4 คน จะมี 1 คนที่ขาดปัจจัยพื้นฐานต่อการเรียนรู้นั่นเอง เบื้องหลังปัญหานี้คือ โครงสร้างเศรษฐกิจที่เปราะบาง โดยภาคอีสานยังพึ่งพาเกษตรกรรมเป็นหลัก เผชิญภัยแล้ง ราคาผลผลิตผันผวน และขาดอุตสาหกรรมมูลค่าสูง จึงสร้างรายได้ที่ไม่มั่นคง ขณะเดียวกัน ครัวเรือนจำนวนมากมีการศึกษาสูงสุดเพียงระดับประถม ทำให้ขาดความสามารถในการสนับสนุนลูกหลานด้านการเรียน การขาดแคลนโครงสร้างพื้นฐานทางการศึกษา เช่น โรงเรียนที่มีครูครบวิชา ห้องสมุด และเทคโนโลยีดิจิทัล ยิ่งซ้ำเติมช่องว่างเหล่านี้ เมื่อเด็กไม่ได้รับการสนับสนุนที่เพียงพอหรือเท่าที่ควรจะเป็น โอกาสหลุดออกนอกระบบการศึกษาจึงสูง และเมื่อเข้าสู่ตลาดแรงงาน ก็ถูกจำกัดให้ทำงานรายได้ต่ำในระบบเศรษฐกิจที่อาจไม่ก้าวหน้านั่นเอง วิกฤตนี้ไม่ใช่เพียงปัญหาสังคม แต่คือ ปัญหาเศรษฐกิจเชิงโครงสร้าง ที่ส่งผลต่อศักยภาพการเติบโตของประเทศ การที่เด็กในภูมิภาคใหญ่ที่สุดของไทยขาดการศึกษาที่มีคุณภาพ คือสัญญาณว่าประเทศกำลังสูญเสีย “ทุนมนุษย์” (human capital) ที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนในอนาคต ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านและภูมิภาคอื่นเร่งพัฒนาทักษะใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์เศรษฐกิจดิจิทัล เด็กไทยจำนวนมากกลับยังติดอยู่กับความเหลื่อมล้ำพื้นฐาน หากรัฐและสังคมไม่ลงทุนในเรื่องนี้อย่างจริงจัง เราอาจต้องเผชิญกับวงจร “จน–ขาดโอกาส–ไม่มีศักยภาพแข่งขัน” ที่กัดกินทั้งสังคมและเศรษฐกิจไทยในระยะยาว อย่างไรก็ตาม แม้การศึกษาจะเป็นปัจจัยสำคัญและถือเป็น “ใบเบิกทาง” ที่เปิดโอกาสให้ผู้คนเข้าถึงอาชีพ รายได้ และความก้าวหน้า แต่ก็ไม่ใช่ทุกสิ่งของอนาคต โลกความจริงเต็มไปด้วยเรื่องราวของผู้ที่ไม่ได้เรียนจบสูง แต่สามารถสร้างธุรกิจที่ยิ่งใหญ่และสร้างรายได้มหาศาลได้ด้วยความมุ่งมั่น ความคิดสร้างสรรค์ และความกล้าเสี่ยง การศึกษาไม่ใช่คำตอบเดียว หากเป็นสะพานที่ช่วยให้การเดินทางไปถึงฝั่งฝันง่ายขึ้น ขณะที่บางคนเลือกสร้างเรือของตนเองแล้วฝ่าคลื่นออกไป ซึ่งก็ประสบความสำเร็จได้เช่นกันนั่นเอง ดังนั้น บทความนี้ไม่ได้ต้องการสรุปว่า ใครที่ยากจนหรือขาดการศึกษาในระบบจะต้องล้มเหลวในชีวิต หากแต่ต้องการชี้ให้เห็นว่า หากรัฐและสังคมละเลยเรื่องความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา เราอาจจะต้องสูญเสียศักยภาพมหาศาลจากเด็กจำนวนมากที่พร้อมจะเป็นพลังสำคัญของชาติ การศึกษาคือเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในการเปิดประตูโอกาส แม้ไม่การันตีความสำเร็จ แต่การมีโอกาสย่อมดีกว่าการถูกปิดกั้นตั้งแต่แรกเริ่ม   อ้างอิงจาก: – กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) – รายงานสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ปี 2567 – สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) – Thai PBS. – SDG Move.  – มติชนสุดสัปดาห์ – Cheewid Blog – Postjung   ติดตาม ISAN Insight &

วิกฤตการศึกษา‼️อีสานครองแชมป์ Top 10 ของประเทศ พาเปิดเบิ่ง 3 จังหวัดที่มีนักเรียนยากจนมากสุด อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top