Nanthawan Laithong

พาย้อนเวลาไปเบิ่ง “อาหารอีสานเก่าแก่” ที่กำลังจะถูกลืม⁉️

อาหารอีสานไม่ใช่เพียงรสชาติอันจัดจ้านที่ทำให้คนไทยจดจำได้เท่านั้น แต่คือภาพสะท้อนของภูมิปัญญาชาวบ้านที่อยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างกลมกลืน คนอีสานได้สร้างสรรค์อาหารจากสิ่งรอบตัว ทั้งพืชป่า แมลง และวัตถุดิบเฉพาะฤดูกาล กลายเป็นระบบอาหารที่ยั่งยืนในตัวเอง ความโดดเด่นของอาหารอีสานจึงอยู่ที่ “ความรู้เชิงนิเวศน์” ที่สั่งสมมาหลายชั่วอายุคน ตั้งแต่เทคนิคการกำจัดพิษในพืชบางชนิด การถนอมอาหารด้วยการหลาม คั่ว หรือตากแห้ง ไปจนถึงการใช้วัตถุดิบตามฤดูกาลเพื่อสร้างความหลากหลายทางโภชนาการ เมื่อย้อนกลับไปดูอาหารพื้นบ้านดั้งเดิม หลายเมนูในอีสานกำลังจางหายไปพร้อมกับผู้เฒ่าผู้แก่ “คั่วขูลู” หรือหนอนใบตองกล้วย คือของกินเล่นที่ใช้หนอนจากหลอดใบกล้วยมาคั่วให้หอม เป็นอาหารที่คนรุ่นก่อนถือว่าเลอค่าและเต็มไปด้วยโปรตีน ส่วน “ซุปดอกผักติ้ว” อาหารรสเปรี้ยวอมมันจากดอกผักติ้วที่มีเฉพาะช่วงหน้าแล้ง ก็สะท้อนความรู้เกี่ยวกับพืชป่าและฤดูกาลอย่างละเอียดอ่อน เช่นเดียวกับ “คั่วสี่จี” ที่สะท้อนวิถีการบริโภคแมลงพื้นถิ่นที่มีโปรตีนสูงและเป็นส่วนหนึ่งของความมั่นคงทางอาหารในอดีต ขณะที่ “หลามปลาไข่มดแดง” ถือเป็นอาหารประจำฤดูร้อนที่รวมศิลปะการปรุงและเทคนิคถนอมอาหารไว้ในกระบอกไม้ไผ่ ส่วน “กุดจี่เบ้า” หรือแมงกุดจี่เบ้า เป็นอาหารจากตัวอ่อนแมลงในมูลสัตว์ที่หากินได้เพียงปีละครั้ง และ “แกงต้นบุก” กับ “กลอย” ก็แสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาในการกำจัดพิษจากพืชพิษก่อนนำมาปรุงอย่างปลอดภัย อาหารเหล่านี้เองค่อยๆ สูญหายไปเพราะค่านิยมสมัยใหม่และการเปลี่ยนแปลงทางสิ่งแวดล้อม คนรุ่นใหม่จำนวนมากมองว่าอาหารเหล่านี้ “บ้านนอก” หรือ “ไม่สะอาด” ทำให้การถ่ายทอดความรู้เรื่องการปรุง การเก็บ และการแปรรูปวัตถุดิบลดลงอย่างน่าเป็นห่วง การสูญเสียอาหารพื้นบ้านจึงไม่เพียงหมายถึงการหายไปของรสชาติ แต่ยังเป็นการสูญเสียองค์ความรู้ด้านการจัดการทรัพยากร ความมั่นคงทางอาหาร และอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจและสังคม หากมองในเชิงเศรษฐกิจ อาหารอีสานเก่าแก่สามารถต่อยอดเป็นทุนวัฒนธรรม เพื่อสร้างรายได้แก่ชุมชนได้ ทั้งในรูปแบบการท่องเที่ยวเชิงอาหาร (food tourism) หรือการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์พื้นบ้าน (OTOP) การอนุรักษ์จึงไม่ควรจำกัดอยู่ที่การเก็บสูตรเท่านั้น แต่ต้องรวมถึงการบันทึกองค์ความรู้ การวิจัยคุณค่าทางโภชนาการ และการสร้างระบบเศรษฐกิจที่ให้ชุมชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง เพราะสุดท้ายแล้ว “อาหารเก่า” เหล่านี้คือหลักฐานทางวัฒนธรรมที่บอกเล่าความสัมพันธ์ระหว่างคนกับธรรมชาติ ซึ่งหากปล่อยให้ถูกลืม ย่อมเท่ากับเราสูญเสียรากทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาที่อาจเป็นคำตอบของการพัฒนาอาหารในอนาคตนั่นเอง     อ้างอิงจาก: – กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม – อาหารป่าและความมั่นคงทางอาหารของชุมชนอีสาน สำนักวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยขอนแก่น. – ภูมิปัญญาการบริโภคแมลงของชาวอีสานกับแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจฐานชีวภาพ วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น – อาหารพื้นบ้านกับการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย วารสารศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, – UNESCO Bangkok – ภูมิปัญญาอาหารพื้นถิ่นกับการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในภาคอีสาน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #อาหารอีสาน #อาหารป่า #อาหารถิ่นอีสาน #อาหารหายาก #อาหารเก่าแก่

พาย้อนเวลาไปเบิ่ง “อาหารอีสานเก่าแก่” ที่กำลังจะถูกลืม⁉️ อ่านเพิ่มเติม »

พาเปิดเบิ่ง ความจริงที่น่าตกใจ! “พยาบาลอีสาน” แบกรับภาระหนักสุดในประเทศ

ในปี 2567 สัดส่วนพยาบาลต่อประชากรภาคอีสาน อยู่ที่พยาบาล 1 คนต่อจำนวนประชากร 434 คน ซึ่งสัดส่วนจำนวนพยาบาลในภาคอีสานแต่ละจังหวัดกลับมีตัวเลขที่น่าเป็นห่วงเป็นอย่างมาก เพราะ WHO หรือองค์การอนามัยโลกได้แนะนำสัดส่วนมาตรฐานเอาไว้ โดยกำหนดว่าสัดส่วนที่เหมาะสมคือ พยาบาล 1 คนต่อจำนวนประชากร 200 คน นั่นเอง โดย 5 จังหวัดแรกที่พยาบาลแบกรับภาระมากที่สุด หนองบัวลำภู มีสัดส่วนพยาบาล 1 คนต่อจำนวนประชากร 679 คน บึงกาฬ มีสัดส่วนพยาบาล 1 คนต่อจำนวนประชากร 574 คน ชัยภูมิ มีสัดส่วนพยาบาล 1 คนต่อจำนวนประชากร 553 คน นครพนม มีสัดส่วนพยาบาล 1 คนต่อจำนวนประชากร 537 คน ศรีสะเกษ มีสัดส่วนพยาบาล 1 คนต่อจำนวนประชากร 536 คน สำหรับในจังหวัดที่พยาบาลแบกรับภาระน้อยที่สุดนั้น คือ จังหวัดขอนแก่น โดยมีสัดส่วนพยาบาล 1 คนต่อจำนวนประชากรเพียงแค่ 258 คน ซึ่งถือว่ามีสัดส่วนพยาบาลที่ไม่ห่างจากสัดส่วนมาตรฐานมากนัก   🩺พยาบาลอีสาน แบกรับภาระหนักสุดในประเทศ จังหวัดในภาคอีสานจำนวนมากกำลังเผชิญ “วิกฤตบุคลากรทางการแพทย์” อย่างรุนแรง หนึ่งในนั้นคือพยาบาล จังหวัดหนองบัวลำภูแบกรับประชาชนต่อพยาบาลสูงสุดถึง 679:1 บึงกาฬ 574:1 และชัยภูมิ 553:1 ซึ่งนับเป็นสัดส่วนที่หนักที่สุดในประเทศ สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างของภาคอีสาน ที่แม้ประชากรจะมีจำนวนมากแต่กลับขาดการกระจายทรัพยากรอย่างเท่าเทียมนั่นเอง สาเหตุสำคัญที่ทำให้พยาบาลในจังหวัดเหล่านี้ต้องแบกรับภาระคนไข้จำนวนมาก มาจากความเหลื่อมล้ำเชิงเศรษฐกิจที่เรื้อรัง จังหวัดที่มีภาระสูงมักเป็นจังหวัดที่มีรายได้เฉลี่ยต่อหัวต่ำ อย่างเช่น หนองบัวลำภูและบึงกาฬ ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมและยังพึ่งพาระบบสาธารณสุขของรัฐเป็นหลัก ภาระของโรงพยาบาลรัฐจึงพุ่งสูง ขณะที่งบประมาณและจำนวนบุคลากรกลับไม่ขยายตัวตามจำนวนประชากร  นอกจากนี้ ยังเกิดภาวะ “สมองไหล” ของบุคลากรทางการแพทย์จากพื้นที่ชนบทเข้าสู่จังหวัดใหญ่ เช่น ขอนแก่น หรืออุบลราชธานี ซึ่งมีโรงพยาบาลศูนย์ มหาวิทยาลัยแพทย์ และโอกาสทางอาชีพที่มั่นคงกว่า พยาบาลในพื้นที่ห่างไกลจึงต้องทำงานเกินกำลังจนส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและคุณภาพการบริการในระยะยาวนั่นเอง ในอีกด้านหนึ่ง ความอ่อนแอของโครงสร้างเศรษฐกิจท้องถิ่นยังมีผลโดยตรงต่อระบบสุขภาพ เมื่อเศรษฐกิจจังหวัดไม่เติบโต โรงพยาบาลก็ขาดงบประมาณ ขาดเครื่องมือแพทย์ และขาดแรงจูงใจให้คนรุ่นใหม่กลับมาทำงานในบ้านเกิด ปัญหานี้จึงไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของสาธารณสุข แต่เป็นภาพสะท้อนความไม่เท่าเทียมทางการพัฒนา ระหว่างเมืองศูนย์กลางกับเมืองรองในภาคอีสาน ขณะที่จังหวัดขอนแก่นกลับตรงข้าม ด้วยอัตราประชาชนต่อพยาบาลเพียง 258:1 เพราะเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การศึกษา และการแพทย์ของภูมิภาค มีโรงเรียนพยาบาลและสถาบันฝึกอบรมจำนวนมาก จึงดึงดูดบุคลากรคุณภาพสูงและงบประมาณได้มากกว่า อย่างไรก็ตาม การที่พยาบาลอีสานจำนวนมากยังคงทำงานหนักภายใต้ทรัพยากรจำกัด ถือเป็นพลังเชิงบวกที่น่าชื่นชม พวกเขาไม่เพียงรักษาผู้ป่วยเท่านั้น โดยเฉพาะช่วงหลังโควิด-19 พยาบาลท้องถิ่นมีบทบาทสำคัญในการดูแลผู้สูงอายุ การรณรงค์วัคซีน และการให้ความรู้ด้านสุขภาพอีกด้วย ปัญหาพยาบาลขาดแคลนในอีสานไม่ใช่เพียงตัวเลขเท่านั้น แต่คือภาพสะท้อนของ “ความไม่เท่าเทียมเชิงโครงสร้าง” ที่ยังฝังลึกในระบบเศรษฐกิจและสังคมไทย จังหวัดที่พยาบาลต้องดูแลประชาชนหลายร้อยชีวิตต่อคน มักเป็นจังหวัดที่ขาดโอกาสทางเศรษฐกิจ ขณะที่จังหวัดที่มีฐานเศรษฐกิจมั่นคงย่อมมีระบบสุขภาพที่เข้มแข็งกว่า ดังนั้น หากประเทศไทยต้องการสร้างความยั่งยืนอย่างแท้จริง

พาเปิดเบิ่ง ความจริงที่น่าตกใจ! “พยาบาลอีสาน” แบกรับภาระหนักสุดในประเทศ อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง “ฮอลล์จัดคอนเสิร์ตในอีสาน” ไม่ใช่แค่ที่บันเทิง แต่คือ “เครื่องจักรกระตุ้นเศรษฐกิจ” 

ฮอลล์จัดคอนเสิร์ตและอีเวนต์ในภาคอีสาน ไม่ได้เป็นเพียงพื้นที่แห่งความสนุกเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการหมุนเวียนรายได้ สร้างงานให้คนท้องถิ่น และดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วประเทศ สะท้อนศักยภาพของเมืองใหญ่ในอีสานที่พร้อมก้าวสู่ศูนย์กลางเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) อย่างเต็มรูปแบบ 🎵KICE – Khon Kaen International Convention and Exhibition Center📍ขอนแก่น ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติขนาดใหญ่ระดับภาคอีสาน ที่รองรับการจัดคอนเสิร์ตและอีเวนต์นานาชาติได้หลายหมื่นคน เป็นหัวใจของ “อีเวนต์อีโคโนมี” เมืองขอนแก่น 🎵Khonkaen Hall – เซ็นทรัล ขอนแก่น📍ขอนแก่น ศูนย์ประชุมอเนกประสงค์ภายในห้างฯ ที่รองรับงานคอนเสิร์ต งานสัมมนา และกิจกรรมแบรนด์ระดับภูมิภาค เป็นจุดรวมของคนรุ่นใหม่และนักท่องเที่ยว 🎵Terminal Hall – เทอร์มินอล 21 โคราช📍นครราชสีมา ฮอลล์ในร่มสุดทันสมัย เหมาะสำหรับคอนเสิร์ตขนาดกลางถึงใหญ่ และอีเวนต์ทัวร์ของศิลปินชื่อดัง ช่วยกระตุ้นธุรกิจท่องเที่ยวและบริการในเมืองโคราชอย่างต่อเนื่อง 🎵Korat Hall – เซ็นทรัล โคราช📍นครราชสีมา หนึ่งในฮอลล์ใหญ่ที่สุดของอีสานตอนล่าง รองรับผู้ชมได้หลายพันคน เป็นที่จัดงานทัวร์คอนเสิร์ตและแฟนมีตของศิลปินไทยและต่างประเทศ อย่างเช่น RUSSELL PETERS ACT YOUR AGE World Tour สร้างกระแสการเดินทางและการใช้จ่ายในเมืองแบบเห็นได้ชัดนั่นเอง 🎵Udon Thani Hall – เซ็นทรัล อุดรธานี📍อุดรธานี ศูนย์จัดคอนเสิร์ตและอีเวนต์ทัวร์สำคัญของอีสานตอนบน มีบทบาทในการดึงดูดผู้ชมจากจังหวัดใกล้เคียง ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจเมืองท่องเที่ยวชายแดนไทย–ลาว 🎵Ubon Hall – เซ็นทรัล อุบลราชธานี📍อุบลราชธานี ฮอลล์จัดงานครบวงจร รองรับทั้งงานแสดงสินค้า สัมมนา คอนเสิร์ต และอีเวนต์บันเทิง เป็นเวทีสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้คนในพื้นที่และจังหวัดรอบข้าง   อย่างไรก็ตาม “คอนเสิร์ต” ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงภายในฮอลล์หรือศูนย์ประชุมขนาดใหญ่เท่านั้น แต่ยังมีการจัดงานแบบ กลางแจ้ง ในหลายพื้นที่ทั่วภาคอีสาน โดยเฉพาะพื้นที่กลางแจ้งในเขาใหญ่และภาคอีสานตอนล่างก็ถือเป็นทำเลทองของเทศกาลดนตรีระดับประเทศที่ดึงดูดผู้คนจากทั่วประเทศให้หลั่งไหลเข้ามาสร้างสีสันทางเศรษฐกิจอย่างคึกคัก ไม่ว่าจะเป็น “ทองสมบูรณ์คลับ เขาใหญ่” หรือพื้นที่ใกล้เคียงซึ่งถูกใช้จัดงานใหญ่ระดับตำนานอย่างเช่น Big Mountain Music Festival ที่กลายเป็นแม่เหล็กสำคัญในการกระตุ้นการท่องเที่ยวและรายได้ของชุมชนโดยรอบ แม้จะอยู่นอกเขตอำเภอเมืองโคราชก็ตาม ขณะเดียวกัน ภาคอีสานตอนบนเองก็ไม่น้อยหน้า หลายเทศกาลดนตรีชื่อดัง อย่างเช่น “เฉียงเหนือเฟส” และ “E-san Music Festival” ต่างเลือกใช้พื้นที่กลางแจ้งขนาดใหญ่ เช่น บริเวณ บขส. 3 ขอนแก่น หรือ ริมเขื่อนอุบลรัตน์ ซึ่งสามารถรองรับผู้เข้าร่วมงานได้หลายหมื่นคน สะท้อนให้เห็นว่าพื้นที่กลางแจ้งของอีสานไม่เพียงเป็นเวทีแห่งเสียงเพลง แต่ยังเป็นเวทีแห่งการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของภูมิภาคอย่างแท้จริงนั่นเอง   คอนเสิร์ตและเทศกาลดนตรีจึงไม่ใช่เพียง “เวทีแห่งความบันเทิง” เท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องจักรสำคัญทางเศรษฐกิจ ที่ช่วยขับเคลื่อนรายได้ของชุมชนโดยรอบในหลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจโรงแรม ที่พัก ร้านอาหาร ผู้ให้บริการขนส่ง และผู้ประกอบการรายย่อยในพื้นที่ที่ต่างได้รับอานิสงส์โดยตรงจากการหลั่งไหลของผู้คนจำนวนมหาศาลนั่นเอง ตัวอย่างเช่น

พามาเบิ่ง “ฮอลล์จัดคอนเสิร์ตในอีสาน” ไม่ใช่แค่ที่บันเทิง แต่คือ “เครื่องจักรกระตุ้นเศรษฐกิจ”  อ่านเพิ่มเติม »

“ราคาทองคำ” ทะยานไม่หยุด พาเปิดเบิ่ง 10 ประเทศ “มหาเศรษฐีทองคำ” ไทยรั้งอันดับ 22 มีทองในมือเท่าไหร่?

ในยุคที่ระบบการเงินผันผวนและความไม่แน่นอนทางทางเศรษฐกิจเพิ่มสูงขึ้น “ทองคำ” ยังคงเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยที่สุด การจัดอันดับของ World Gold Council ชี้ให้เห็นว่า ประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่าง สหรัฐอเมริกา ถือครองทองคำกว่า 8,133 ตัน, เยอรมนี 3,351 ตัน, อิตาลี 2,452 ตัน และ ฝรั่งเศส 2,437 ตัน ต่างถือครองทองคำในปริมาณมหาศาลเพื่อใช้เป็นทุนสำรองประเทศ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและอำนาจทางการเงินที่เหนือชั้น ขณะที่ประเทศไทยแม้จะอยู่ในอันดับที่ 22 ของโลก แต่ก็ถือครองทองคำมากถึง 235 ตันเลยทีเดียว ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นว่าไทยยังคงใช้ทองคำเป็นเกาะป้องกันสำคัญในยามเศรษฐกิจโลกผันผวนนั่นเอง เมื่อมองย้อนกลับไปช่วง 10 ที่ผ่านมา ราคาทองคำขยับขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในปี 2568 ที่ราคาพุ่งแตะระดับ 62,300 บาท ซึ่งสูงสุดในรอบกว่า 10 ปี ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะความตื่นตระหนกของนักลงทุนเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงแรงกดดันเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจโลก ทั้งภาวะเงินเฟ้อ สงคราม และการชะลอตัวของตลาดทุนโลก ซึ่งทำให้ทองคำกลับมาเป็นสินทรัพย์ที่ทุกประเทศแย่งกันถือ ประเทศไทยของเรา ราคาทองคำที่พุ่งสูงนั้นต่างก็มีทั้งด้านบวกและด้านลบด้วยกัน ด้านผู้ที่ถือทองอยู่แล้วได้รับผลตอบแทนสูงขึ้น ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง สะท้อนถึงค่าของเงินบาทที่อ่อนลง และต้นทุนชีวิตที่สูงขึ้น สำหรับประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะในภาคอีสานของเราที่มีรายได้เฉลี่ยที่ค่อนข้างต่ำ อีสานอินไซต์จะขอการเปรียบเทียบให้เห็นภาพง่าย ๆ คือ เมื่อราคาทองคำแตะ 62,300 บาท ขณะที่ค่าแรงขั้นต่ำในหลายจังหวัดอีสานอยู่ราว 370-380 บาทต่อวัน หมายความว่าคนทำงานต้องใช้แรงกายกว่า 160 วัน เพื่อแลกทองคำ “หนึ่งบาท” อย่างไรก็ตาม ทองคำยังคงเป็นตัวชี้วัดทางความมั่นคงทางเศรษฐกิจของทั้งโลกและไทย การที่ไทยถือครองทองคำเพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เป็นสัญญาณว่าไทยกำลังสร้างเกราะป้องกันต่อวิกฤตการเงินโลกในอนาคต แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือการยกระดับรายได้ของประชาชน โดยเฉพาะในภาคอีสานให้สามารถ “ก้าวทันต้นทุนชีวิต” ที่สูงขึ้นด้วยเช่นกัน ไม่ว่างั้นทองคำจะยังคงเป็นเพียงสัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่งของบางกลุ่มมากกว่าจะเป็นตัวชี้วัดความมั่นคงที่ทุกคนได้ประโยชน์ร่วมกันนั่นเอง     อ้างอิงจาก: – World Gold Council – สมาคมค้าทองคำแห่งประเทศไทย   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #ทองคำ #ทองคำราคาพุ่ง #ราคาทองคำ #ทองคำแท่ง

“ราคาทองคำ” ทะยานไม่หยุด พาเปิดเบิ่ง 10 ประเทศ “มหาเศรษฐีทองคำ” ไทยรั้งอันดับ 22 มีทองในมือเท่าไหร่? อ่านเพิ่มเติม »

ฮู้บ่ว่า? “อุบล” และ “ศรีสะเกษ” ติด Top10 จังหวัดที่มีสัดส่วน “คนจน” มากสุดในประเทศ

ในปี 2567 ประเทศไทยมีคนจนเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 3.43 ล้านคน หรือ 4.89% ของประชากรทั้งหมด โดยเฉพาะในภาคอีสานที่ยังคงมี “สัดส่วนคนจนสูง” แม้เศรษฐกิจโดยรวมจะเริ่มฟื้นตัว แต่ความเปราะบางในระดับครัวเรือนกลับยิ่งชัดเจนขึ้น โดยจังหวัด อุบลราชธานี และ ศรีสะเกษ กลายเป็นตัวแทนของภาพเศรษฐกิจอีสานในปัจจุบัน ทั้งคู่ติดอันดับ Top 10 จังหวัดที่มีคนจนมากที่สุดของไทย โดยอุบลราชธานีมีสัดส่วนคนจนกว่า 20.34% ของประชากรทั้งหมดในจังหวัด ส่วนศรีสะเกษอยู่ที่ 14.08% สะท้อนให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้างที่ฝังรากลึก แม้จะอยู่ในภูมิภาคที่อุดมด้วยทรัพยากรและพรมแดนการค้า แต่ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจกลับไม่กระจายสู่ชุมชนอย่างเท่าเทียมนั่นเอง เศรษฐกิจอีสานส่วนใหญ่ยังพึ่งพาเกษตรกรรมเป็นหลัก แรงงานกว่าครึ่งหนึ่งทำงานอยู่ในภาคเกษตร โดยเฉพาะการทำนา ปลูกอ้อย มันสำปะหลัง และข้าวโพด สินค้าหลักที่สามารถสร้างรายได้กลับผันผวนและพึ่งพาธรรมชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความไม่แน่นอนของฝน ความเสียหายจากน้ำท่วมซ้ำซาก และต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น กลายเป็น “กับดักรายได้ต่ำ” ที่ทำให้เกษตรกรส่วนใหญ่ไม่สามารถสะสมทุนเพื่อหลุดพ้นจากความยากจนได้ อีกทั้งยังอยู่ท่ามกลางภาวะค่าครองชีพที่สูง รายได้ที่ไม่แน่นอน และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวยังไม่เต็มที่ ขณะเดียวกัน โอกาสทางเศรษฐกิจในอีสานยังถูกจำกัดด้วย โครงสร้างการลงทุนและโครงสร้างพื้นฐาน ที่ไม่เอื้อให้เกิดธุรกิจสมัยใหม่ การลงทุนภาคเอกชนยังคงกระจุกตัวในภาคกลางและภาคตะวันออก ขณะที่ภาคอีสานแม้จะมีศักยภาพทางภูมิศาสตร์มหาศาล โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดนอย่างมุกดาหาร หนองคาย และอุบลราชธานี ที่เชื่อมโยงกับ สปป.ลาวและกัมพูชา แต่การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษยังไม่ต่อยอดสู่ภาคอุตสาหกรรมหรือบริการได้อย่างแท้จริง . แรงงานจำนวนมากจึงเลือกเดินทางออกจากภูมิภาคไปทำงานในกรุงเทพฯ หรือระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) เพื่อหารายได้สูงกว่า ผลคือ “เศรษฐกิจท้องถิ่นขาดแรงหมุนเวียน” เงินรายได้จากแรงงานอีสานที่ส่งกลับบ้านในรูปของเงินโอน แม้จะช่วยเลี้ยงครัวเรือนในระยะสั้น แต่ไม่ได้สร้างการเติบโตในระยะยาว เมื่อคนหนุ่มสาวย้ายถิ่น แรงงานในพื้นที่จึงเหลือเพียงผู้สูงอายุและแรงงานไร้ทักษะ ซึ่งเป็นกลุ่มที่เปราะบางที่สุดในระบบเศรษฐกิจนั่นเอง อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ฉุดรั้งอีสานคือ โครงสร้างประชากรที่กำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันอีสานมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปกว่า 28.4% ของประชากรทั้งหมดในภูมิภาค ซึ่งหมายความว่าภาคแรงงานจะยิ่งหดตัวลง และภาระการดูแลสังคมจะเพิ่มขึ้น  เมื่อเศรษฐกิจพึ่งเกษตร รายได้ไม่แน่นอน การลงทุนต่ำ และโครงสร้างประชากรเปลี่ยน ซึ่งปัจจัยทั้งหมดนี้ได้กลายเป็น “วงจรความยากจนเชิงโครงสร้าง” ที่ทำให้ภาคอีสานของเราที่แม้จะมีศักยภาพ แต่ไม่อาจก้าวทันภูมิภาคอื่นของประเทศนั่นเอง อีสานมีศักยภาพมหาศาลทั้งด้านทรัพยากรธรรมชาติ แรงงาน วัฒนธรรม และภูมิรัฐศาสตร์ หากได้รับการพัฒนาอย่างมีทิศทาง อีสานจะไม่ใช่เพียง “ภูมิภาคแห่งความยากจน” อีกต่อไป แต่จะกลายเป็น “ภูมิภาคแห่งพลังใหม่ของเศรษฐกิจไทย” ที่เติบโตบนฐานความยั่งยืนและภูมิปัญญาท้องถิ่น   อ้างอิงจาก: – สำนักงานสถิติแห่งชาติ – สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. – ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ. – สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) – กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา – กรุงเทพธุรกิจ   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy

ฮู้บ่ว่า? “อุบล” และ “ศรีสะเกษ” ติด Top10 จังหวัดที่มีสัดส่วน “คนจน” มากสุดในประเทศ อ่านเพิ่มเติม »

วิกฤตการศึกษา‼️อีสานครองแชมป์ Top 10 ของประเทศ พาเปิดเบิ่ง 3 จังหวัดที่มีนักเรียนยากจนมากสุด

ประเทศไทยกำลังเผชิญกับ “วิกฤตทางการศึกษา” ที่ซ่อนอยู่ในเงามืดของความเหลื่อมล้ำทางสังคม ตัวเลขจากกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ปี 2567 พบว่า จังหวัดที่มีนักเรียนยากจนพิเศษมากที่สุดในประเทศกลับไม่ใช่เขตเศรษฐกิจหลัก แต่เป็นพื้นที่ชายขอบและชนบท อย่างเช่น แม่ฮ่องสอน นราธิวาส และโดยเฉพาะ ภาคอีสาน ที่ติดอันดับถึง 8 จังหวัดจาก 10 อันดับแรก ไม่ว่าจะเป็น นครพนม อำนาจเจริญ ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ ยโสธร มุกดาหาร ศรีสะเกษ และสกลนคร โดยเด็กในพื้นที่เหล่านี้กว่า 35-40% มาจากครัวเรือนยากจนพิเศษ ซึ่งหมายความว่าแทบทุก 3-4 คน จะมี 1 คนที่ขาดปัจจัยพื้นฐานต่อการเรียนรู้นั่นเอง เบื้องหลังปัญหานี้คือ โครงสร้างเศรษฐกิจที่เปราะบาง โดยภาคอีสานยังพึ่งพาเกษตรกรรมเป็นหลัก เผชิญภัยแล้ง ราคาผลผลิตผันผวน และขาดอุตสาหกรรมมูลค่าสูง จึงสร้างรายได้ที่ไม่มั่นคง ขณะเดียวกัน ครัวเรือนจำนวนมากมีการศึกษาสูงสุดเพียงระดับประถม ทำให้ขาดความสามารถในการสนับสนุนลูกหลานด้านการเรียน การขาดแคลนโครงสร้างพื้นฐานทางการศึกษา เช่น โรงเรียนที่มีครูครบวิชา ห้องสมุด และเทคโนโลยีดิจิทัล ยิ่งซ้ำเติมช่องว่างเหล่านี้ เมื่อเด็กไม่ได้รับการสนับสนุนที่เพียงพอหรือเท่าที่ควรจะเป็น โอกาสหลุดออกนอกระบบการศึกษาจึงสูง และเมื่อเข้าสู่ตลาดแรงงาน ก็ถูกจำกัดให้ทำงานรายได้ต่ำในระบบเศรษฐกิจที่อาจไม่ก้าวหน้านั่นเอง วิกฤตนี้ไม่ใช่เพียงปัญหาสังคม แต่คือ ปัญหาเศรษฐกิจเชิงโครงสร้าง ที่ส่งผลต่อศักยภาพการเติบโตของประเทศ การที่เด็กในภูมิภาคใหญ่ที่สุดของไทยขาดการศึกษาที่มีคุณภาพ คือสัญญาณว่าประเทศกำลังสูญเสีย “ทุนมนุษย์” (human capital) ที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนในอนาคต ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านและภูมิภาคอื่นเร่งพัฒนาทักษะใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์เศรษฐกิจดิจิทัล เด็กไทยจำนวนมากกลับยังติดอยู่กับความเหลื่อมล้ำพื้นฐาน หากรัฐและสังคมไม่ลงทุนในเรื่องนี้อย่างจริงจัง เราอาจต้องเผชิญกับวงจร “จน–ขาดโอกาส–ไม่มีศักยภาพแข่งขัน” ที่กัดกินทั้งสังคมและเศรษฐกิจไทยในระยะยาว อย่างไรก็ตาม แม้การศึกษาจะเป็นปัจจัยสำคัญและถือเป็น “ใบเบิกทาง” ที่เปิดโอกาสให้ผู้คนเข้าถึงอาชีพ รายได้ และความก้าวหน้า แต่ก็ไม่ใช่ทุกสิ่งของอนาคต โลกความจริงเต็มไปด้วยเรื่องราวของผู้ที่ไม่ได้เรียนจบสูง แต่สามารถสร้างธุรกิจที่ยิ่งใหญ่และสร้างรายได้มหาศาลได้ด้วยความมุ่งมั่น ความคิดสร้างสรรค์ และความกล้าเสี่ยง การศึกษาไม่ใช่คำตอบเดียว หากเป็นสะพานที่ช่วยให้การเดินทางไปถึงฝั่งฝันง่ายขึ้น ขณะที่บางคนเลือกสร้างเรือของตนเองแล้วฝ่าคลื่นออกไป ซึ่งก็ประสบความสำเร็จได้เช่นกันนั่นเอง ดังนั้น บทความนี้ไม่ได้ต้องการสรุปว่า ใครที่ยากจนหรือขาดการศึกษาในระบบจะต้องล้มเหลวในชีวิต หากแต่ต้องการชี้ให้เห็นว่า หากรัฐและสังคมละเลยเรื่องความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา เราอาจจะต้องสูญเสียศักยภาพมหาศาลจากเด็กจำนวนมากที่พร้อมจะเป็นพลังสำคัญของชาติ การศึกษาคือเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในการเปิดประตูโอกาส แม้ไม่การันตีความสำเร็จ แต่การมีโอกาสย่อมดีกว่าการถูกปิดกั้นตั้งแต่แรกเริ่ม   อ้างอิงจาก: – กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) – รายงานสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ปี 2567 – สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) – Thai PBS. – SDG Move.  – มติชนสุดสัปดาห์ – Cheewid Blog – Postjung   ติดตาม ISAN Insight &

วิกฤตการศึกษา‼️อีสานครองแชมป์ Top 10 ของประเทศ พาเปิดเบิ่ง 3 จังหวัดที่มีนักเรียนยากจนมากสุด อ่านเพิ่มเติม »

“ช่องอานม้า” ลุกเป็นไฟ🔥ทบ.เตือนอย่าตกหลุม “กัมพูชายิงยั่วยุ” หวังปั่นภาพบนเวทีโลก⁉️ พาเปิดพิกัดเบิ่ง เขมรเสริมกำลัง จ่อประชิดชายแดนไทย

เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2568 บริเวณช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เกิดเหตุความตึงเครียดระหว่างหน่วยปฏิบัติการของทั้งสองฝ่ายในช่วงเวลากลางวัน โดยสื่อรายงานเหตุการณ์ว่าเวลาประมาณ 12.03 น. ฝ่ายกัมพูชาใช้อาวุธปืนกลมือและเครื่องยิงลูกระเบิดยิงเข้ามายังแนวป้องกันของไทย ก่อนที่เจ้าหน้าที่ฝั่งไทยจะมีการตอบโต้ด้วยอาวุธชนิดเดียวกันและสถานการณ์คลี่คลายลงในประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมา อย่างไรก็ตาม เพจอย่างเป็นทางการของกองทัพบกได้ออกแถลงการณ์ว่าเป็นการ “ยิงยั่วยุ” จากฝั่งกัมพูชา และยืนยันว่าไทยไม่ได้เปิดการปะทะในเชิงยุทธศาสตร์ พร้อมขอให้ประชาชนเชื่อถือข้อมูลจากช่องทางทางการเท่านั้น พฤติกรรมการใช้ปืนกลและเครื่องยิงลูกระเบิดในช่วงเวลากลางวัน รวมทั้งการตั้งกล้องบันทึกภาพบริเวณฐานปฏิบัติการ ของกัมพูชานั้น ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าการปะทะครั้งนี้อาจมีเป้าประสงค์ทางการประชาสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์ เพื่อสร้างภาพเหตุการณ์สาธารณะหรือไม่? ทั้งนี้ กองทัพภาคที่ 2 ระบุว่าเป็นความพยายาม “สร้างเงื่อนไข” ให้สอดคล้องกับการเดินทางของคณะสังเกตการณ์ระหว่างประเทศ (IOT) แสดงให้เห็นว่าเหตุการณ์ชายแดนในตอนนี้ไม่ได้เป็นเพียงการปะทะเชิงทหารเท่านั้น แต่ยังผูกโยงกับการต่อสู้ในมิติสื่อและการเมืองระหว่างประเทศ โดยเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชานั้น ก็ส่งผลกระทบในระดับท้องถิ่นที่ชัดเจน ชุมชนชายแดน/ตลาดชายแดน พ่อค้าแรงงานรายวัน เกษตรกรที่นำผลผลิตมาจำหน่าย และผู้ประกอบการขนส่ง จะได้รับผลกระทบทันทีจากการชะงักของกิจกรรมการค้าข้ามพรมแดน การปิดจุดผ่านแดนชั่วคราว หรือการจำกัดการสัญจรของประชาชนย่อมทำให้รายได้วันต่อวันลดลง โดยเฉพาะกับธุรกิจขนาดเล็กและแรงงานนอกระบบซึ่งมีสภาพคล่องน้อย ผลกระทบเหล่านี้แม้จะไม่นำไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจระดับชาติ แต่สำหรับชุมชนชายแดนแล้วสามารถแปลเป็นการสูญเสียทางรายได้ และแรงกดดันต่อการดำรงชีพภายในพื้นที่ได้ทันทีนั่นเอง ระยะเวลาของความตึงเครียดและระดับการบานปลายเป็นตัวกำหนดขนาดของความเสียหาย หากเหตุการณ์คลี่คลายเร็วและการสื่อสารทางการเป็นไปอย่างโปร่งใส ผลกระทบจะจำกัดอยู่ที่การชะงักชั่วคราวของการค้าและการท่องเที่ยวท้องถิ่น แต่หากมีการปะทะซ้ำหรือยืดเยื้อ จะเกิดค่าใช้จ่ายทางการทหารที่เพิ่มขึ้น งบประมาณท้องถิ่นต้องถูกเบียดบังไปสู่การรักษาความปลอดภัย การลงทุนหรือโครงการพัฒนาพื้นที่จะชะลอหรือลดขนาด นอกจากนี้ความไม่แน่นอนที่ยาวนานย่อมเพิ่ม “ความเสี่ยง” ทำให้ผู้ลงทุนทั้งในและต่างประเทศชะลอการตัดสินใจในโครงการที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ใกล้ชายแดน ส่งผลต่อการจ้างงานและการเติบโตของเศรษฐกิจระดับภูมิภาคนั่นเอง เหตุการณ์ช่องอานม้าที่เกิดขึ้นเมื่อ 27 กันยายน 2568 แม้จะมีลักษณะจำกัดวง แต่สะท้อนความเปราะบางของพื้นที่ชายแดนที่ผูกโยงกันทั้งมิติทหาร สื่อสาร และเศรษฐกิจ ผลกระทบทางเศรษฐกิจแม้จะเน้นหนักในระดับท้องถิ่น แต่หากปล่อยให้ความไม่แน่นอนสะสมก็ย่อมขยายเป็นปัญหาระดับภูมิภาคได้ การสร้างความรัดกุมด้านความมั่นคง การสื่อสารเชิงรับผิดชอบ และมาตรการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับชุมชนชายแดน จะเป็นกุญแจสำคัญในการลดความเสี่ยงและฟื้นฟูความเชื่อมั่นของประชาชนและผู้ประกอบการในพื้นที่ต่อไป   อ้างอิงจาก: – กองทัพบก ทันกระแส – ประชาชาติธุรกิจ – ข่าวช่อง8 – PPTVHD 36   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #ช่องอานม้า #ชายแดนไทยกัมพูชา #กัมพูชา

“ช่องอานม้า” ลุกเป็นไฟ🔥ทบ.เตือนอย่าตกหลุม “กัมพูชายิงยั่วยุ” หวังปั่นภาพบนเวทีโลก⁉️ พาเปิดพิกัดเบิ่ง เขมรเสริมกำลัง จ่อประชิดชายแดนไทย อ่านเพิ่มเติม »

🔎“รากาซา” ทำอีสานฝนตกหนักมาก พาเปิดเบิ่ง แผนที่ “น้ำท่วม 10 ปี” และพื้นที่เสี่ยง☔️⛈️

⛰️จากการประมวลความถี่ของการเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)  พบว่าในช่วงหนึ่งอายุของคนที่เกิดในปี 2563 จะมีโอกาสเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติมากกว่าคนที่เกิดในปี 2503 ถึง 3 เท่า  โดยรายงานการค้าและการพัฒนา (Trade and Development Report 2021) จัดทำโดย UNCTAD ชี้ให้เห็นว่า ในช่วงปี 2543 – 2562 ทั่วโลกเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ จำนวน 7,348 ครั้ง คร่าชีวิตผู้คนไป 1.23 ล้านคน ส่งผลกระทบต่อผู้คนทั่วโลกกว่า 4,200 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจประมาณ 2.97 ล้านล้านดอลลาร์ หรือ 101.75 ล้านล้านบาท ⛈️เมื่อปี 2554 ประเทศไทยประสบกับอุทกภัยครั้งรุนแรงที่สุดในรอบ 70 ปี ส่งผลกระทบต่อชีวิต และทรัพย์สินของเคยไทยเกือบทุกภูมิภาคของประเทศ รวมทั้งเศรษฐกิจได้รับความเสียหายอย่างมาก นับเป็นอุทกภัยครั้งประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ☔️หากลงไปดูข้อมูลน้ำท่วมในภาคอีสาน ก็พบว่า ข้อมูลในปี 2567 ภาคอีสานมีพื้นที่ถูกน้ำท่วมประมาณ 1.38 ล้านไร่ รวม 18 จังหวัดทั่วภาคอีสาน ยกเว้นจังหวัดมุกดาหารและเลยที่ไม่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม โดยจังหวัดนครพนมมีพื้นที่ถูกน้ำท่วมมากที่สุดประมาณ 221,706 ไร่ รองลงมาคือจังหวัดอุดรธานีและหนองคาย ที่มีพื้นที่ถูกน้ำท่วม 213,478 และ 206,727 ไร่  ​​หากเกิดน้ำท่วม ก็ย่อมกระทบตั้งแต่ต้นน้ำอย่างภาคเกษตร ซึ่งเป็นหัวใจหลักของอีสาน ไปจนถึงปลายน้ำอย่างการขนส่งสินค้าและตลาดท้องถิ่นที่ต้องหยุดชะงัก ผลกระทบเชิงธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นตลาดสดและศูนย์กระจายสินค้าอาจขาดแคลนพืชผลการเกษตร ร้านค้าและผู้ประกอบการรายย่อยต้องแบกรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้น ขณะที่การเดินทางและการคมนาคมเชื่อมโยงไปยังจังหวัดเศรษฐกิจใหญ่ อย่างเช่น ขอนแก่น และนครราชสีมา อาจสะดุดและส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานโดยรวม อีกทั้งภาวะน้ำท่วมยังบั่นทอนความเชื่อมั่นการลงทุน โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมการผลิตและโลจิสติกส์ที่ใช้โครงสร้างพื้นฐานเป็นฐานหลัก   🌪️ในขณะนี้ เดือนกันยายน 2568 ไทยกำลังเผชิญสภาพอากาศแปรปรวนทั่วประเทศ โดยภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคตะวันออกมีฝนตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่ เช่น พิษณุโลก เพชรบูรณ์ เลย ชัยภูมิ ขอนแก่น นครราชสีมา บุรีรัมย์ จันทบุรี และตราด ขณะที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลก็ไม่พ้น มีฝนตกหนักบางแห่ง เสี่ยงน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่ง โดยภาคอีสาน มีฝนฟ้าคะนองถึง 80% ของพื้นที่ หลายจังหวัดเจอทั้งฝนหนักและลมแรง อาทิ เลย หนองบัวลำภู ขอนแก่น นครราชสีมา อุบลราชธานี บุรีรัมย์ สุรินทร์ และอีกหลายจังหวัด ควรเฝ้าระวังสถานการณ์ใกล้ชิด เพราะอาจส่งผลกระทบต่อการเดินทาง เกษตรกรรม และชีวิตประจำวันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้   สัญญาณน้ำท่วมไม่ได้เป็นเพียงเรื่องฝนตกหนักทั่วไป แต่กำลังกลายเป็นความเสี่ยงใหญ่ต่อทั้งเกษตรกรและประชาชนในหลายพื้นที่ของประเทศไทย จากการวิเคราะห์ข้อมูล “พื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก 7 ปี”

🔎“รากาซา” ทำอีสานฝนตกหนักมาก พาเปิดเบิ่ง แผนที่ “น้ำท่วม 10 ปี” และพื้นที่เสี่ยง☔️⛈️ อ่านเพิ่มเติม »

พาเปิดโผเบิ่ง 3 อันดับ รร.มัธยมที่มีนักเรียนมากสุด แต่ละจังหวัดในอีสาน

จากข้อมูลที่อีสานอินไซต์พาเปิดโผ 3 อันดับโรงเรียนมัธยมที่มีนักเรียนมากที่สุดในแต่ละจังหวัดอีสาน เผยให้เห็นภาพการรวมตัวของ “สมองคนรุ่นใหม่” ที่กระจุกอยู่ในโรงเรียนใหญ่ใจกลางเมืองหลัก ไม่ว่าจะเป็น ขอนแก่นวิทยายนที่มีนักเรียนกว่า 4,554 คน, สุรนารีวิทยา จังหวัดนครราชสีมา 4,347 คน, หรืออุดรพิทยานุกูล 4,275 คน ตัวเลขเหล่านี้ไม่ใช่เพียงสถิติด้านการศึกษาเท่านั้น แต่กลับสะท้อนให้เห็นถึงโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมที่ลึกซึ้ง โดยโรงเรียนขนาดใหญ่นั่นก็สร้างข้อได้เปรียบในเรื่องการที่มีครูผู้เชี่ยวชาญมากขึ้น หลักสูตรที่หลากหลาย และกิจกรรมเสริมทักษะที่ครบครัน แต่ในอีกมิติหนึ่งก็เผชิญความท้าทาย ทั้งความแออัด และการกระจายทรัพยากรที่ยังไม่ทั่วถึงนั่นเอง โรงเรียนเหล่านี้กลายเป็นศูนย์กลางชีวิตเมืองด้วยกัน ซึ่งก่อให้เกิดกิจกรรมทางธุรกิจรอบโรงเรียนนั่นเอง ตั้งแต่การขนส่ง ร้านอาหาร ร้านเครื่องแบบ ติวเตอร์ ไปจนถึงที่พักนักเรียน โรงเรียนจึงไม่ใช่เพียงพื้นที่การเรียนรู้เท่านั้น แต่กลับยังมีความสำคัญของเศรษฐกิจบริเวณรอบโรงรียน และยังสะท้อนโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามามีบทบาทร่วมลงทุนในการพัฒนาบริการทางการศึกษาและทักษะอาชีพได้มากขึ้น เมื่อมองในระยะยาว เด็กนักเรียนในภาคอีสานคือ “ทุนมนุษย์” ที่จะเติบโตเป็นแรงงานสมองของชาติไปอนาคตต่อไป พวกเขาเหล่านี้ต่างก็จะเป็นผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นเกษตรแปรรูป โลจิสติกส์ การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ไปจนถึงอุตสาหกรรมเทคโนโลยีเกษตรต่างๆ ดังนั้นนโยบายการศึกษาจึงควรมุ่งกระจายทรัพยากรครูและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลไปถึงโรงเรียนชนบท สร้างความร่วมมือระหว่างโรงเรียน มหาวิทยาลัย และภาคเอกชนเพื่อเปิดเส้นทางสู่อาชีพ และยกระดับโรงเรียนขนาดใหญ่ให้เป็นศูนย์นวัตกรรมการเรียนรู้นั่นเอง ดังนั้น การลงทุนในคุณภาพการศึกษามัธยมของอีสานวันนี้ คือการลงทุนใน “สมองอนาคต” ของประเทศ เพราะเด็กอีสานไม่ใช่เพียงผู้เรียน แต่คือพลังความคิดสร้างสรรค์และศักยภาพการแข่งขัน ที่จะต่อยอดสู่ความมั่นคงและการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยในวันหน้านั่นเอง   อ้างอิงจาก: – ข้อมูลสารสนเทศนักเรียน โรงเรียนสังกัดเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #โรงเรียนมัธยม #โรงเรียนมัธยมในอีสาน #โรงเรียนในอีสาน 

พาเปิดโผเบิ่ง 3 อันดับ รร.มัธยมที่มีนักเรียนมากสุด แต่ละจังหวัดในอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

เปิดสัญญาณ “วิกฤต”‼️ เมื่อภาคอีสานกำลังเข้าสู่ “สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์” และ “ชัยภูมิ” ได้คว้าแชมป์อันดับ 1 ของภาคไปครอง‼️

ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ และมีการคาดการณ์ว่าจะกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุระดับสูงภายในไม่กี่ปีข้างหน้า การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากอัตราการเกิดที่ลดลงควบคู่กับอายุขัยที่ยาวนานขึ้น ซึ่งส่งผลให้สัดส่วนประชากรสูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปรากฏการณ์นี้ไม่เพียงสร้างความท้าทายด้านสังคมและเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังเปิดโอกาสเชิงธุรกิจที่สำคัญในหลายมิติด้วยกัน จากข้อมูลจะเห็นได้ชัดว่าภาคอีสานหลายจังหวัดกำลังก้าวเข้าสู่ “สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์” (Aged Society) ซึ่งมีสัดส่วนประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปเกิน 20% อีกทั้งปรากฏการณ์นี้สะท้อนทั้งวิถีชีวิตใหม่ของคนรุ่นปัจจุบันที่นิยมอยู่เป็นโสด มีลูกน้อยลง และการที่อัตราการตายสูงกว่าอัตราการเกิด ก็ทำให้โครงสร้างประชากรกลับหัว การเปลี่ยนแปลงนี้มีผลต่อธุรกิจ เศรษฐกิจมหภาค และเสถียรภาพทางสังคม 5 อันดับจังหวัดที่มีสัดส่วนผู้สูงอายุมากสุด – ชัยภูมิ 22.6% – เลย 22.4% – ขอนแก่น 22.2% – มหาสารคาม 22.0% – นครราชสีมา 21.8% ซึ่งเป็นสัญญาณบอกว่าภาคอีสานของเราไม่ใช่แค่กำลังสูงวัยเท่านั้น แต่กำลังย้ายเข้าสู่ระยะที่ผลกระทบจะฝังแน่นในโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคม การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องจำนวนคนเท่านั้น แต่เป็นการเปลี่ยนรูปแบบความต้องการของผู้บริโภค โครงสร้างแรงงาน และภาระทางการคลังที่ต้องออกแบบใหม่ทั้งระบบนั่นเอง อีกทั้ง จากเดิมที่ประเทศไทยเคยอาศัยแรงงานต้นทุนต่ำและการผลิตเชิงปริมาณ ขณะเดียวกันค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการและสุขภาพพุ่งสูงขึ้น ประเทศก็จะเผชิญกับรายได้ภาษีลดลงจากประชากรวัยทำงานน้อยลง แต่รายจ่ายเพิ่มขึ้นจากประชากรวัยสูงอายุที่ต้องการบริการทางการแพทย์และบำนาญ หากไม่ปรับโครงสร้างการคลัง ประเทศไทยอาจเข้าสู่ “กับดักการคลังสูงวัย” ที่ค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการเบียดบังงบลงทุนเพื่ออนาคตนั่นเอง ขณะเดียวกัน ภาคเกษตรและในพื้นที่ชนบทซึ่งเป็นฐานของอีสานจะเผชิญแรงกดดันรุนแรง เนื่องจากแรงงานหนุ่มสาวอพยพเข้าเมือง เหลือเพียงผู้สูงอายุเป็นหลัก การผลิตอาหารจะชะงักหากไม่มีการลงทุนในเกษตรอัจฉริยะ และระบบเครื่องจักรอัตโนมัติ อีกทั้งยังเกิดโจทย์ใหม่ว่าใครจะดูแลผู้สูงอายุในชนบท? หากไม่มีการสร้างเศรษฐกิจชุมชนดูแลที่ผสานการจ้างงานท้องถิ่นกับธุรกิจสังคม การเป็นสังคมผู้สูงอายุต่อเนื่องย่อมลดอุปทานของแรงงาน ซึ่งก็ส่งผลต่อการเติบโตของ GDP หากไม่ได้มีมาตรการชดเชยด้วยการเพิ่มผลิตภาพหรือแรงงานทดแทน ซึ่งผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจก็มีความซับซ้อนเช่นกัน ในอีกมุมหนึ่งอัตราการออมต่อหัวอาจเพิ่มขึ้นในกลุ่มอายุใกล้เกษียณ แต่การบริโภคโดยรวมเปลี่ยนแปลงไป ลดความต้องการสินค้าเพื่อเด็กและวัยหนุ่มสาว และหันไปเพิ่มความต้องการบริการสุขภาพ การดูแลระยะยาว และสินค้าเชิงคุณภาพชีวิต ทำให้เกิดการขยายตัวของ “เศรษฐกิจแบบดูแล (Care Economy)” อีกทั้ง การเป็นสังคมผู้สูงวัยเองก็มีทั้งความเสี่ยงและโอกาส โดยสาขาที่อาจหดตัวได้แก่ ตลาดสินค้าเด็ก การศึกษาแบบมวลชน และบางบริการความบันเทิงสำหรับวัยหนุ่มสาว ขณะเดียวกันโอกาสใหม่ๆ จะผุดขึ้นมากมาย อย่างเช่น บริการดูแลผู้สูงอายุแบบรายเดือน, โทรเวชกรรมและการจัดการโรคเรื้อรังนั่นเอง การกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุเต็มตัวเป็นทั้งความท้าทายเชิงโครงสร้างและโอกาส หากรัฐ ภาคธุรกิจ และชุมชนร่วมกันคิดเชิงระบบ ปรับกรอบนโยบาย และออกแบบบริการที่ตอบโจทย์ชีวิตจริงของประชากรสูงวัย ประเทศยังสามารถเปลี่ยน “ภาระประชากรสูงวัย” ให้เป็น “เศรษฐกิจคุณภาพชีวิต” ที่สร้างงานและนวัตกรรมได้ แต่ต้องเริ่มจากการยอมรับความจริงของโครงสร้างครอบครัวที่เปลี่ยนไป และออกแบบมาตรการที่เป็นทั้งเชิงป้องกันและเชิงสร้างสรรค์พร้อมกัน   อ้างอิงจาก: – สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง – กรมกิจการผู้สูงอายุ – กระทรวงสาธารณสุข – World Bank – วิจัยกรุงศรี   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ

เปิดสัญญาณ “วิกฤต”‼️ เมื่อภาคอีสานกำลังเข้าสู่ “สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์” และ “ชัยภูมิ” ได้คว้าแชมป์อันดับ 1 ของภาคไปครอง‼️ อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top