Nanthawan Laithong

พาอัพเดทเบิ่ง โรงงานที่ก่อตั้งใหม่ในอีสาน เดือน ตุลาคม 68

ภาคอีสานในวันนี้ไม่ได้เป็นเพียงภูมิภาคเกษตรกรรมอย่างในอดีตอีกต่อไป เดือนตุลาคม 2568 มีโรงงานอุตสาหกรรมใหม่จดทะเบียนกว่า 21 แห่ง กระจายตัวในหลายจังหวัดทั่วภูมิภาค ทั้งจังหวัดใหญ่ที่เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ อย่างเช่น นครราชสีมา อุดรธานี อุบลราชธานี และจังหวัดชายแดนอย่าง มุกดาหาร การเติบโตของโรงงานเหล่านี้ เป็นสัญญาณของ “การย้ายฐานเศรษฐกิจ” ที่กำลังเกิดขึ้นจริงในอีสาน ซึ่งเริ่มเปลี่ยนจากพื้นที่แรงงานราคาถูก มาเป็นฐานผลิตที่มีความหลากหลาย มีศักยภาพด้านโลจิสติกส์ รองรับการส่งออก และเชื่อมต่อกับเศรษฐกิจอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นนั่นเอง การเกิดขึ้นของโรงงานใหม่จำนวนมากกำลังสร้างแรงเหวี่ยงสำคัญต่อโครงสร้างสังคมภาคอีสาน โดยเฉพาะด้านแรงงาน เพราะการมีงานในพื้นที่เพิ่มขึ้นนั่นก็จะช่วยลดการอพยพออกนอกภูมิภาค ซึ่งเป็นปัญหามาอย่างยาวนานของคนอีสานที่ต้องเดินทางไปทำงานในกรุงเทพฯ หรือภาคตะวันออก การขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมจึงไม่เพียงเป็นเรื่องเศรษฐกิจ แต่ยังมีมิติในทางสังคมที่ช่วยดึงดูดคนไว้กับบ้านเกิด ในบรรดาโรงงานใหม่กว่า 21 แห่ง มี 10 แห่งแรก ที่โดดเด่นที่สุดในแง่มูลค่าการลงทุน โดยโรงงานที่ลงทุนสูงสุดคือ “บมจ.ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์” จังหวัดมุกดาหาร ด้วยวงเงินกว่า 1,836 ล้านบาท ประกอบธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้า ซึ่งเป็นสัญญาณว่าความต้องการพลังงานในอีสานกำลังเพิ่มสูงขึ้นทั้งจากโรงงานใหม่และการขยายเมือง การมีโรงไฟฟ้าในพื้นที่ยังลดต้นทุนด้านพลังงานและเพิ่มความมั่นคงทางระบบไฟฟ้า ทำให้อีสานสามารถรองรับการลงทุนใหม่ๆ ได้มากขึ้นในอนาคตนั่นเอง อันดับถัดมาคือโรงงานผลิตวัสดุก่อสร้างจำนวนมาก อย่างเช่น โรงงานผลิตยางมะตอยใน อุบลราชธานี กาฬสินธุ์ และยโสธร สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตของโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นถนน 4 เลน เส้นทางเชื่อมลาว-จีน หรือโครงข่ายรถไฟทางคู่ที่กำลังทยอยเปิดใช้ ขณะที่ธุรกิจแปรรูปอาหาร เช่น โรงฆ่าสัตว์ปีกในจังหวัดนครราชสีมา ยังคงเป็นรากฐานเศรษฐกิจที่แข็งแรงของภูมิภาค เพราะสอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคและรองรับตลาดส่งออกไปประเทศเพื่อนบ้านได้ดี จังหวัดใหญ่อย่างนครราชสีมา อุดรธานี และอุบลราชธานี ก็ยังคงเป็นจุดหมายสำคัญของนักลงทุน เนื่องจากเป็นเมืองที่มีระบบโลจิสติกส์ครบวงจร โรงงานด้ต่างๆ และอุตสาหกรรมเฉพาะทางจึงเริ่มกระจายตัวเข้ามามากขึ้น การลงทุนในเดือนเดียวมากกว่า 20 แห่ง แสดงให้เห็นว่าอีสานเริ่มมีปัจจัยพื้นฐานที่เพียงพอ ทั้งแรงงาน ที่ดิน ราคาที่แข่งขันได้ และทำเลที่เชื่อมต่อประเทศเพื่อนบ้านได้ดี การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงสร้างเม็ดเงินลงทุนเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น รายได้ที่หมุนเวียนในพื้นที่มากขึ้น และความเข้มแข็งของเศรษฐกิจท้องถิ่นที่ขยายตัวตามโรงงานใหม่อย่างเป็นระบบ หากแนวโน้มนี้เดินหน้าอย่างต่อเนื่อง อีกไม่กี่ปีข้างหน้า ภาคอีสานบ้านเราอาจกลายเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมใหม่ของไทยตอนบน ที่เชื่อมโยงตลาดลาว-กัมพูชา-เวียดนาม และรองรับการผลิตหลายประเภทที่เคยจำกัดอยู่เฉพาะในภาคตะวันออกหรือกรุงเทพฯ เท่านั้นนั่นเอง   อ้างอิงจาก: – กรมโรงงานอุตสาหกรรม   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #โรงงานในอีสาน #โรงงานใหม่ในอีสาน #โรงงาน #ก่อตั้งโรงงาน

พาอัพเดทเบิ่ง โรงงานที่ก่อตั้งใหม่ในอีสาน เดือน ตุลาคม 68 อ่านเพิ่มเติม »

พาเปิดโผเบิ่ง 3 อันดับ รร.ประถมที่มีนักเรียนมากสุด แต่ละจังหวัดในอีสาน

25 พฤศจิกายนนี้ คือ “วันประถมศึกษา” ซึ่งเป็นวันสำคัญที่ย้ำเตือนเราถึงรากฐานที่มั่นคงของการศึกษาไทย เพราะในช่วงชั้นประถมศึกษานี่เองที่เด็กๆ ได้รับการบ่มเพาะ ทั้งความรู้พื้นฐาน ทักษะชีวิต และการสร้างตัวตนทางสังคมที่จำเป็นที่สุดของชีวิต เนื่องในวาระสำคัญนี้ อีสานอินไซต์ จึงขอพาเจาะลึกไปที่หัวใจของการศึกษาในภาคอีสานบ้านเรา ด้วยการเปิดข้อมูล 3 อันดับโรงเรียนประถมศึกษา ที่มีจำนวนนักเรียนมากที่สุดในแต่ละจังหวัด  ข้อมูลโรงเรียนประถมชั้นนำในภาคอีสาน ซึ่งจัดเรียงตามจำนวนนักเรียน อาจนำมาซึ่งความเข้าใจผิดที่ว่าโรงเรียนที่มีตัวเลขสูงกว่าย่อมเหนือกว่า แต่แท้จริงแล้วโรงเรียนประถมศึกษาระดับอนุบาลทั้งหมดนั้น คือเพชรเม็ดงามที่ส่องประกายในแบบของตนเองอย่างเท่าเทียม ไม่มีโรงเรียนใดที่ด้อยกว่าใคร หากแต่พวกเขากำลังทำหน้าที่อันยิ่งใหญ่ในการเป็น “เบ้าหลอม” ที่แตกต่างกันไปตามลักษณะเฉพาะของท้องถิ่นนั่นเอง จากข้อมูลที่ได้นำเสนอไปนั้น เห็นได้ชัดว่าโรงเรียนที่มีจำนวนนักเรียนสูงลิ่วมากกว่า 2,000 คน มักกระจุกตัวอยู่ในอำเภอเมืองของจังหวัดหลัก อย่างเช่น อนุบาลร้อยเอ็ด, อนุบาลนครราชสีมา, อนุบาลขอนแก่น และอนุบาลอุดรธานี ซึ่งตัวเลขก็เหมือนเป็นแรงดึงดูดทางเศรษฐกิจและสังคม ที่ผู้ปกครองส่วนใหญ่เชื่อมั่นในคุณภาพและทรัพยากรที่โรงเรียนขนาดใหญ่ในเขตเมืองมอบให้ พวกเขาเหล่านี้เปรียบเสมือน “เรือธง” ที่รับภาระในการผลิตบุคลากรคุณภาพจำนวนมหาศาล ขณะเดียวกัน โรงเรียนที่ตั้งอยู่ในอำเภอรองหรือชุมชนย่อย อย่าง อนุบาลปราสาท ศึกษาคาร หรือ อนุบาลวานรนิวาส ก็ไม่ได้แปลว่ามีคุณภาพด้อยกว่า แต่พวกเขาคือ “รากแก้ว” ที่หยั่งลึกและมั่นคง ทำหน้าที่กระจายโอกาสทางการศึกษาที่มีคุณภาพสูงออกไปสู่พื้นที่ห่างไกลได้อย่างทั่วถึงและยั่งยืน แก่นแท้ของการศึกษาที่มีคุณภาพนั้นไม่ได้วัดจากจำนวนนักเรียนที่นั่งอยู่เต็มห้อง แต่มาจากความสามารถของโรงเรียนในการขัดเกลาและดึงศักยภาพสูงสุดของเด็กแต่ละคนออกมา โรงเรียนประถมแต่ละแห่งมีปรัชญาและวิถีการสอนที่ถูกออกแบบมาอย่างละเอียดอ่อนและแตกต่างกันกันไป บางแห่งอาจเน้นการเรียนรู้แบบบูรณาการผ่านการเล่น เพื่อสร้างเด็กที่มีความคิดสร้างสรรค์และกล้าแสดงออก ในขณะที่บางแห่งอาจเน้นความพร้อมทางวิชาการ เพื่อปูพื้นฐานการศึกษาในระดับต่อไป ความแตกต่างนี้เองคือความสวยงามของระบบการศึกษาไทย ทุกโรงเรียนดีหมด เพราะพวกเขาตระหนักดีว่าเด็กแต่ละคนคือต้นกล้าที่ต้องการการบำรุงในรูปแบบที่ไม่เหมือนกันนั่นเอง โรงเรียนประถมในภาคอีสานเหล่านี้ไม่ว่าจะมีขนาดใหญ่หรือเล็ก ล้วนเป็นสถาบันที่เปี่ยมด้วยความตั้งใจและคุณภาพที่น่าชื่นชม พวกเขาคือผู้ผลิตพลเมืองแห่งอนาคต ที่ใช้หลักสูตรและรูปแบบการสอนเป็นเครื่องมือในการเจียระไนศักยภาพของนักเรียนอย่างต่อเนื่อง การตัดสินว่าโรงเรียนใดดีที่สุดจึงไม่ใช่การหาผู้ชนะในตารางจัดอันดับที่อีสานอินไซต์ได้นำเสนอไป แต่คือการค้นหาโรงเรียนที่ “ตอบโจทย์” และ “สอดคล้อง” กับความฝันและความคาดหวังในการเติบโตของบุตรหลานแต่ละคนได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุดนั่นเอง     อ้างอิงจาก: กระทรวงศึกษาธิการ, Lathapipat (2012), Mouz (2025), ONEC (2566) และ S-Mom Club   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #โรงเรียนประถม #โรงเรียนประถมในอีสาน #โรงเรียนในอีสาน

พาเปิดโผเบิ่ง 3 อันดับ รร.ประถมที่มีนักเรียนมากสุด แต่ละจังหวัดในอีสาน อ่านเพิ่มเติม »

พาเลาะกิน ‘ร้านอาหารสุดแซ่บแดนอีสาน’ ที่ได้รางวัล ‘บิบ กูร์มองด์’ จาก มิชลินไกด์ 2569🍜🍲🍴

ในประเทศไทยมีร้านอาหารที่ได้รางวัล ‘บิบ กูร์มองด์’ จาก มิชลินไกด์ 2569 อยู่ทั้งหมด 137 ร้าน โดยภาคอีสานบ้านเราก็มีร้านได้ที่รับรางวัลเช่นกันกว่า 28 ร้านด้วยกัน ซึ่งจะกระจายอยู่ตาม 4 จังหวัดใหญ่ของภาคอีสาน อย่างขอนแก่น นครราชสีมา อุบลราชธานี และอุดรธานี ที่จะสะท้อนให้เห็นอัตลักษณ์อาหารอีสานที่โดดเด่นและมีรสชาติจัดจ้าน ซึ่งต้องอาศัยทักษะในการประกอบอาหารที่ซับซ้อน ไม่ว่าจะเป็นการต้ม, ย่าง, นึ่ง หรือตุ๋นด้วยไฟอ่อน อีกทั้งยังมีเทคนิคการถนอมอาหารที่ถือเป็นจุดเด่นของอาหารอีสานและแสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาพื้นบ้านในการหมักดองปลาและผักตามฤดูกาลให้สามารถเก็บไว้ใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับประกอบอาหารได้นานขึ้น โดยมีเครื่องปรุงรสพื้นฐานในครัวอีสานอย่าง “ปลาร้า” ที่ทำจากการนำปลาในท้องถิ่นมาหมักกับเกลือและข้าว เป็นวัตถุดิบยอดนิยมที่ใช้ใส่ในอาหารและน้ำจิ้มต่าง ๆ แทบทุกจาน ทั้งยังได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติมาตั้งแต่ปี 2555 อาหารอีสานของเรานั้นก็มีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจ โดยได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากอาณาจักรสุโขทัยและอาณาจักรเขมรโบราณ รวมทั้งจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาว เวียดนาม กัมพูชา และจีน ภาคอีสานประกอบด้วยทุ่งหญ้าและผืนป่าบนที่ราบสูงและเทือกเขาซึ่งเหมาะกับการทำปศุสัตว์ นอกจากนี้ ภาคอีสานยังเป็นแหล่งปลูกข้าวคุณภาพสูง ทั้งข้าวหอมมะลิที่โด่งดังไปทั่วโลกและข้าวเหนียว อาหารอีสานส่วนใหญ่จะไม่ใช้อาหารทะเลเป็นวัตถุดิบเนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ไม่ติดกับทะเลหรือมหาสมุทร แต่เนื่องจากภูมิภาคนี้มีแม่น้ำหลายสายไหลผ่าน โดยเฉพาะแม่น้ำแม่โขง จึงมีปลาน้ำจืดจำนวนมากให้เลือกใช้เป็นวัตถุดิบประกอบอาหาร อีกทั้ง ภาคอีสานเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่มีความโดดเด่นในเรื่องของอาหารที่เป็นเอกลักษณ์ มีชาวไทยและชาวต่างชาติที่ชื่นชมในอาหาร นอกจากนี้ ยังมีนักท่องเที่ยวไม่น้อย ที่ตามหาของอร่อยตามรอย “คู่มือมิชลิน ไกด์” ซึ่งคัดสรรและรวบรวมร้านอาหารที่ควรค่าแก่การเดินทางไปเยือนและลิ้มชิมรส ให้ในแง่ของการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจแล้ว ร้านอาหารที่ได้รับการรับรองจากมิชลินถือว่ามีความสำคัญไม่น้อยเลยทีเดียวที่จะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวภายในจังหวัดได้ดี   อ้างอิงจาก:  – Thailand Property News – MICHELIN GUIDE – PPTV Online   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #อีสานอินไซต์ #Business #ธุรกิจ #ธุรกิจอีสาน #มิชลินไกด์ #ร้านอาหารอีสาน #อาหารอีสาน #บิบกูร์มองด์ #ร้านอาหารมิชลินไกด์ 

พาเลาะกิน ‘ร้านอาหารสุดแซ่บแดนอีสาน’ ที่ได้รางวัล ‘บิบ กูร์มองด์’ จาก มิชลินไกด์ 2569🍜🍲🍴 อ่านเพิ่มเติม »

พาเปิดเบิ่ง อัตราส่วนสุดช็อก! อีสาน “ขาดแคลนหมอฟัน” หนักสุดในประเทศ

ปัจจุบันทันตแพทย์ในประเทศไทยยังไม่เพียงพอ โดยปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 8,524 คน ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ประชาชนเข้าไม่ถึงบริการทันตกรรม และไปรับบริการจากหมอฟันเถื่อน ซึ่งสัดส่วนของทันตแพทย์ต่อประชากรในพื้นที่ที่เหมาะสมคือ 1 ต่อ 3,000 ประชากร แต่ปัจจุบันสัดส่วนอยู่ที่ 1 ต่อ 7,626 ประชากร แต่บางพื้นที่มีปัญหาขาดแคลนมาก โดยเฉพาะภาคอีสาน อยู่ที่ 1 ต่อ 10,280 ประชากร ซึ่งถือว่าน้อยมาก ภาคอีสานกำลังเผชิญภาวะ “ขาดแคลนทันตแพทย์” ในระดับที่น่าตกใจที่สุดของประเทศ โดยข้อมูลจากสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขชี้ชัดว่า หลายจังหวัดมี สัดส่วนประชากรต่อทันตแพทย์สูงกว่า 10,000 คนต่อหมอฟันเพียง 1 คน  โดย 5 จังหวัดที่มีสัดส่วนประชากรต่อทันตแพทย์สูงที่สุด บึงกาฬ มีสัดส่วนทันตแพทย์ 1 คนต่อจำนวนประชากร 14,955 คน สกลนคร มีสัดส่วนทันตแพทย์ 1 คนต่อจำนวนประชากร 14,602 คน ศรีสะเกษ มีสัดส่วนทันตแพทย์ 1 คนต่อจำนวนประชากร 13,015 คน สุรินทร์ มีสัดส่วนทันตแพทย์ 1 คนต่อจำนวนประชากร 12,498 คน อุดรธานี มีสัดส่วนทันตแพทย์ 1 คนต่อจำนวนประชากร 12,182 คน จังหวัดเหล่านี้มีทั้งพื้นที่กว้าง ประชากรจำนวนมาก ทำให้ความต้องการสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่จำนวนผู้ให้บริการไม่เพิ่มตาม โดยเฉพาะอุดรธานีและสกลนครที่ถือว่าเป็นเมืองศูนย์กลางด้านเศรษฐกิจระดับภูมิภาค แต่กลับมีสัดส่วนหมอฟันต่ำกว่าความต้องการจริงอย่างมาก ในทางกลับกัน จังหวัดที่มีภาระน้อยที่สุดคือ ขอนแก่น มีสัดส่วนทันตแพทย์ 1 คนต่อจำนวนประชากร 5,716 คน ด้วยบทบาทด้านเป็นศูนย์กลางการแพทย์และมีคณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ช่วยดึงดูดบุคลากรได้มากกว่า สาเหตุที่อีสานขาดแคลนหมอฟัน ไม่ได้เกิดจากจำนวนหมอฟันในประเทศไทยไม่พอ แต่เป็นเพราะบุคลากรส่วนใหญ่ไหลออกจากระบบรัฐไปสู่ภาคเอกชนหรือเปิดคลินิกเองทันทีหลังจบใหม่ รายได้ในคลินิกเอกชนสูงกว่าระบบรัฐหลายเท่าตัว ขณะที่ภาระงานในโรงพยาบาลชุมชนหนักกว่ามาก ทั้งการรักษา การออกหน่วย การดูแลผู้ป่วยเป็นวงกว้าง ซึ่งทำให้แรงจูงใจอยู่ในระบบลดลงอย่างต่อเนื่อง ยิ่งในอีสานที่พื้นที่กว้างไกลและมีประชากรหนาแน่น การทำงานในพื้นที่ห่างไกลจึงยิ่งมีต้นทุนชีวิตสูงกว่า ไม่ว่าจะเป็นทั้งเวลา การเดินทาง ความก้าวหน้าในอาชีพ รวมถึงรายได้เสริมที่แทบไม่มี ต่างจากเมืองใหญ่ที่มีศูนย์บริการเอกชน การแข่งขันสูง และรายได้ตอบแทนที่มากกว่านั่นเอง ขณะเดียวกัน อีสานมีจำนวนคณะทันตแพทยศาสตร์น้อยกว่าความต้องการจริง แม้เป็นภูมิภาคที่มีประชากรมากที่สุดของประเทศ ส่งผลให้ปริมาณการผลิตบุคลากรไม่ทันกับการเติบโตของประชากรและกลุ่มผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ความต้องการด้านการทำฟันพุ่งสูงเกินกำลังของระบบสาธารณสุขที่มีอยู่ กลับกัน อุตสาหกรรมทันตกรรมในภาคเอกชน โดยเฉพาะการจัดฟัน รากฟันเทียม และทันตกรรมความงาม กลับเติบโตเร็วมาก ทำให้หมอฟันรุ่นใหม่สนใจเข้าสู่คลินิกเอกชนมากกว่ากลับไปเสริมระบบรัฐ ความไม่สมดุลเช่นนี้ทำให้เกิด “การกระจุกตัวของหมอฟันในเมืองกลางและเมืองใหญ่” อย่างขอนแก่น อุบลฯ หรือโคราช ในขณะที่จังหวัดรอบนอกกลับขาดแคลนอย่างหนักแบบไม่เคยเป็นมาก่อน     อ้างอิงจาก: – สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข – HFocus – ทันตแพทยสมาคมแห่งประเทศไทย –

พาเปิดเบิ่ง อัตราส่วนสุดช็อก! อีสาน “ขาดแคลนหมอฟัน” หนักสุดในประเทศ อ่านเพิ่มเติม »

อีสานหวานไม่หยุด! ตัวเลขผู้ป่วยเบาหวานพุ่งแตะ 1.4 ล้าน พาเปิดเบิ่ง จังหวัดไหน ‘คนเป็นเบาหวาน’ มากที่สุด?

จากข้อมูลผู้ป่วยเบาหวานที่ขึ้นทะเบียนและมารับการรักษาต่อเนื่องจากระบบคลังข้อมูลด้านการแพทย์และสุขภาพ (HDC) ของกระทรวงสาธารณสุข พบว่า ปี 2568 ประเทศไทยมีผู้ป่วยเบาหวานรวมสูงถึง 3,815,361 คน และ “ภาคตะวันออกเฉียงเหนือบ้านเรา” มีผู้ป่วยเบาหวานสูงที่สุดของประเทศ อยู่ที่ 1,441,243 คน ซึ่งสามารถสะท้อนภาพความท้าทายด้านสุขภาพที่ต้องการความร่วมมืออย่างจริงจัง ทั้งจากภาครัฐ ชุมชน และพฤติกรรมรายบุคคลเพื่อชะลอการพุ่งขึ้นของโรคไม่ติดต่อเรื้อรังนี้ หากลงไปดูในรายจังหวัดจะพบว่า จังหวัดเลยครองอันดับหนึ่งด้าน “อัตราผู้ป่วยต่อประชากร 100,000 คน” สูงถึง 8,030 ราย ขณะที่จังหวัดใหญ่อย่างนครราชสีมามีจำนวนผู้ป่วยจริงมากที่สุดกว่า 178,000 ราย ตัวเลขเหล่านี้กลายเป็นเหมือน “แผนที่ความเสี่ยง” ทางสุขภาพของภาคอีสานที่ควรทำความเข้าใจในเชิงลึกกว่าที่เห็น จังหวัดที่มีอัตราผู้ป่วยสูง ก็มักมีปัจจัยร่วมหลายอย่าง ทั้งโครงสร้างประชากรที่มีผู้สูงอายุจำนวนมาก หรือพฤติกรรมการบริโภคที่ยังยึดโยงกับอาหารท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นข้าวเหนียว อาหารหมักดอง และอาหารแปรรูปที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น โรคเบาหวานนั้นเกิดจากพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนไปในยุคสังคมเร่งด่วน คนจำนวนมากหันไปพึ่งอาหารแปรรูป อาหารรสจัดหวานมันเค็ม และการดื่มน้ำอัดลมที่เข้าถึงง่ายในราคาถูก นอกจากนี้ ความนิยมของอาหารสไตล์ “อีสานหวานนำ” อย่างเช่น น้ำปลาร้าปรุงรส ขนมพื้นบ้าน เครื่องดื่มหวานเย็น และการบริโภคข้าวเหนียวซึ่งมีลักษณะเป็นคาร์โบไฮเดรตที่ย่อยเร็วและมีดัชนีน้ำตาลสูง สิ่งเหล่านี้ล้วนเพิ่มความเสี่ยงโดยไม่รู้ตัวนั่นเอง อีกปัจจัยสำคัญคือ รูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนไป คนวัยทำงานจำนวนมากย้ายจากงานใช้แรงไปสู่งานนั่งโต๊ะหรือใช้เวลานานในการเดินทาง ทำให้กิจกรรมทางกายลดลงอย่างมาก เมื่อผสานกับการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ ความเครียดสะสม และการไม่มีเวลาสำหรับดูแลสุขภาพ จึงเป็นเงื่อนไขที่ผลักให้โรคเบาหวานเกิดง่ายขึ้นและรุนแรงขึ้นกว่าเดิม สังคมในภาคอีสานยังเป็นภูมิภาคที่มีประชากรสูงอายุจำนวนมาก ทำให้สัดส่วนของผู้ป่วยเพิ่มตามอายุ อีกทั้งยังมีปัจจัยอื่นอย่างเช่น พันธุกรรมร่วมด้วย ซึ่งทำให้บางครอบครัวมีความเสี่ยงสูงเป็นพิเศษ ขณะที่ระบบบริการสุขภาพแม้จะเข้มแข็ง แต่ความหนาแน่นของผู้ป่วยและพื้นที่ห่างไกลก็อาจทำให้การเข้าถึงการตรวจคัดกรองเป็นไปอย่างไม่ทั่วถึงนั่นเอง เมื่อวิเคราะห์เชิงลึกในด้านการเพาะปลูกอ้อย พบข้อมูลที่น่าสนใจว่า จังหวัดเลย ขอนแก่น และอุดรธานีมีพื้นที่ปลูกอ้อยจำนวนมาก ทำให้อ้อยกลายเป็นวัตถุดิบหลักของท้องถิ่น ส่งผลให้ราคาน้ำตาลและผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำตาลสูงในพื้นที่ถูกกว่าและมีให้เลือกหลากหลาย เมื่อเป็นเช่นนี้ คนในพื้นที่จึงเข้าถึงเครื่องดื่มหวาน ขนมหวาน และอาหารแปรรูปที่ใช้น้ำตาลได้ง่ายและในราคาที่จับต้องได้สะดวก ซึ่งก็เห็นได้ชัดในอาหารท้องถิ่น เช่น ร้านชา-ชานมที่เพิ่มขึ้นแทบทุกอำเภอ ร้านน้ำอัดลมและขนมแปรรูปที่ขายดีในตลาดชุมชน หรือแม้กระทั่งในงานประเพณีของหมู่บ้านซึ่งมักมีเครื่องดื่มหวานวางจำหน่าย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ส่งผลให้ประชาชนได้รับน้ำตาลในปริมาณสูงอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะไม่ได้รับรู้ว่ากำลังกิน “อาหารหวาน” เป็นพิเศษก็ตาม ในทางกลับกัน หากมองในอีกมุมมองหนึ่งนั้น ภาคอีสานกำลังเติบโตเป็น ตลาดใหญ่ของสินค้าและบริการด้านสุขภาพ ตั้งแต่คลินิกดูแลเบาหวาน อาหารสุขภาพ โภชนบำบัด ไปจนถึงเทคโนโลยีตรวจน้ำตาลและการติดตามสุขภาพผ่านแอปพลิเคชัน ธุรกิจท้องถิ่นยังสามารถต่อยอดวัตถุดิบพื้นถิ่น อย่างเช่น ผักพื้นบ้าน โปรตีนพืช และข้าวพันธุ์พื้นเมือง ให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพหรือ functional foods ที่มีมูลค่าสูง สอดรับกับกระแสผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญเรื่องโภชนาการมากขึ้น รวมถึงโอกาสในภาค telemedicine และระบบติดตามผู้ป่วยทางไกล ซึ่งตอบโจทย์พื้นที่ชนบทที่ยังขาดบุคลากรทางแพทย์     อ้างอิงจาก: – กระทรวงสาธารณสุข. ระบบคลังข้อมูลด้านการแพทย์และสาธารณสุข (HDC) – สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) – สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.). กระทรวงอุตสาหกรรม   ติดตาม ISAN Insight & Outlook

อีสานหวานไม่หยุด! ตัวเลขผู้ป่วยเบาหวานพุ่งแตะ 1.4 ล้าน พาเปิดเบิ่ง จังหวัดไหน ‘คนเป็นเบาหวาน’ มากที่สุด? อ่านเพิ่มเติม »

อีสานหวานไม่หยุด‼️ตัวเลขผู้ป่วยเบาหวานพุ่งแตะ 1.4 ล้าน โดยเมื่อเทียบตามสัดส่วนประชากร พบว่า “เลย” มีอัตราผู้ป่วยสูงที่สุด ตามด้วย “กาฬสินธุ์“ และ ”ขอนแก่น”🏥🩺

ภาคอีสานกำลังเผชิญ “คลื่นความหวาน” ที่รุนแรงที่สุดในไทย โดยข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขปี 2568 ระบุว่า ผู้ป่วยเบาหวานทั่วประเทศมีมากถึง 3.81 ล้านคน และกว่า 1.44 ล้านคน อยู่ในภาคอีสานเพียงภูมิภาคเดียว เหตุใดคนอีสานจึงป่วยเบาหวานมากที่สุด จึงเป็นประเด็นที่ต้องมองแบบองค์รวมมากกว่ามองเฉพาะเรื่องอาหารเพียงอย่างเดียว จุดเปลี่ยนสำคัญเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคของผู้คนในยุคเร่งด่วน ที่อาหารสดในครัวเรือนถูกแทนที่ด้วยอาหารแปรรูป อาหารสำเร็จรูป อาหารถุง และเครื่องดื่มหวานที่หาซื้อง่ายและราคาถูก ร้านชา-ชานมที่เปิดแทบทุกตำบล ขนมและเครื่องดื่มหวานกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันแบบไม่รู้ตัว แม้ว่าอาหารอีสานดั้งเดิมจะเป็นที่รู้จักว่ารสจัด เค็ม เผ็ด แต่ปัจจุบันกลายเป็น “รสหวานนำ” กลับกลายมาเป็นส่วนผสมที่พบเห็นได้ทั่วไป ตั้งแต่น้ำปลาร้าปรุงรส ขนมพื้นบ้าน ไปจนถึงน้ำอัดลมในงานบุญประจำหมู่บ้าน ขณะเดียวกัน “ข้าวเหนียว” ซึ่งเป็นอาหารหลักของผู้คนในภาคอีสาน ก็มีดัชนีน้ำตาลสูง ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งเร็ว หากมีการบริโภคทุกมื้อแต่ไม่มีกิจกรรมทางกายเพียงพอ ก็ยิ่งผลักให้เกิดโรคเบาหวานได้ง่ายขึ้นนั่นเอง หากมองในอีกมุมมองหนึ่ง ในจังหวัดที่มีพื้นที่ปลูกอ้อยจำนวนมาก อย่างเช่น เลย ขอนแก่น และอุดรธานี การที่อ้อยเป็นพืชเศรษฐกิจหลักทำให้น้ำตาลและผลิตภัณฑ์ที่ใช้น้ำตาลมีราคาถูก เข้าถึงง่าย และกระจายอยู่ทั่วตลาดในชนบท การมีน้ำตาลราคาถูกเช่นนี้ทำให้ผู้คนบริโภคขนมหวานและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว การเข้าถึงที่ง่ายจึงกลายเป็นปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ผลักให้พฤติกรรมบริโภคน้ำตาลเพิ่มขึ้นแบบเป็น “โครงสร้าง” ไม่ใช่แค่ความชอบส่วนบุคคลเท่านั่น ในอีกด้านหนึ่ง วิถีชีวิตของคนอีสานก็เปลี่ยนไปตามโครงสร้างเศรษฐกิจและการทำงาน คนจำนวนมากย้ายไปทำงานในเมือง ทำงานออฟฟิศ หรือทำงานโรงงานที่ต้องนั่งตลอดวัน เมื่อการขยับร่างกายน้อยลง บวกกับความเครียดจากการงานและการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ ระบบเผาผลาญของร่างกายจึงทำงานผิดปกติ ทำให้ภาวะดื้อต่ออินซูลินเกิดง่ายขึ้นกว่าเดิม คนวัยทำงานจึงกลายเป็นกลุ่มเสี่ยงมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่ผู้สูงอายุเหมือนในอดีตเท่านั้น อีกทั้งภาคอีสานยังเป็นพื้นที่ที่มีสัดส่วนผู้สูงอายุจำนวนมาก ทำให้จำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นตามอายุอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ขณะที่หลายครอบครัวมีประวัติความเสี่ยงทางพันธุกรรมร่วมด้วย แต่ที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือความท้าทายด้านบริการสุขภาพ แม้โรงพยาบาลชุมชนจะพยายามรองรับ แต่พื้นที่ห่างไกลและจำนวนประชากรที่มาก ทำให้การตรวจคัดกรองไม่สามารถเข้าถึงได้อย่างทั่วถึง ผู้ป่วยจำนวนมากจึงรู้ตัวเมื่อโรคเข้าสู่ระยะลุกลามแล้ว ซึ่งเพิ่มทั้งต้นทุนการรักษาและภาระต่อระบบสาธารณสุขโดยรวม การที่คนอีสานมีผู้ป่วยเบาหวานมากไม่ใช่แค่เพียงเรื่อง “การกินหวาน” เท่านั้น แต่คือผลสะสมของโครงสร้างสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรมอาหาร วิถีชีวิตเมือง และข้อจำกัดด้านสาธารณสุข การแก้ปัญหาจึงต้องมองทั้งระบบ ตั้งแต่อาหาร ราคาน้ำตาล เศรษฐกิจท้องถิ่น ไปจนถึงการเข้าถึงบริการทางการแพทย์อย่างทั่วถึง หากสามารถทำได้อย่างเป็นองค์รวม อีสานอาจก้าวสู่การเป็นแบบอย่างด้านการจัดการโรคไม่ติดต่อเรื้อรังของไทย และพลิกวิกฤตสุขภาพครั้งนี้ให้กลายเป็นโอกาสพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนทั้งภูมิภาคอย่างแท้จริงนั่นเอง     อ้างอิงจาก: – กระทรวงสาธารณสุข – กรมควบคุมโรค – สำนักงานสถิติแห่งชาติ – สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาล   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #เบาหวาน #โรคเบาหวาน #ผู้ป่วยเบาหวาน

อีสานหวานไม่หยุด‼️ตัวเลขผู้ป่วยเบาหวานพุ่งแตะ 1.4 ล้าน โดยเมื่อเทียบตามสัดส่วนประชากร พบว่า “เลย” มีอัตราผู้ป่วยสูงที่สุด ตามด้วย “กาฬสินธุ์“ และ ”ขอนแก่น”🏥🩺 อ่านเพิ่มเติม »

พาย้อนเบิ่ง “ทีมฟุตบอลนักเรียน” จากแดนอีสาน ในศึก “แชมป์กีฬา 7HD 2025” รอบ 32 ทีม

การแข่งขัน “ฟุตบอลนักเรียน 7 คน รายการแชมป์กีฬา 7HD ” นับเป็นหนึ่งในรายการที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดของวงการฟุตบอลระดับเยาวชนไทย เพราะนี่ไม่ใช่เพียงเวทีแข่งขันกีฬาเท่านั้น แต่คือพื้นที่สร้างโอกาสทางสังคมและการศึกษา ที่เปิดกว้างให้เด็กทั่วประเทศได้แสดงศักยภาพที่ซ่อนอยู่ ทั้งทักษะฟุตบอล การทำงานเป็นทีม วินัย ความมุ่งมั่น และความสามารถเชิงยุทธวิธีที่หลายคนอาจไม่เคยมีเวทีให้พิสูจน์ รายการนี้ถูกจัดขึ้นด้วยเป้าหมายสำคัญคือการสร้างระบบพัฒนาเยาวชนผ่านกีฬา ซึ่งถือเป็น “บันไดขั้นแรก” ให้เด็กๆ จำนวนมากก้าวสู่ลีกอาชีพ ทุนการศึกษา หรือแม้แต่เส้นทางชีวิตใหม่ที่มั่นคงกว่าเดิม ในปี 2025 กระแสของรายการยิ่งร้อนแรงกว่าทุกปี เพราะมีทีมสมัครเข้าร่วมมากถึง 503 ทีมจากทั่วประเทศ มีโรงเรียนจำนวนมากมองเวทีนี้เป็นทั้ง “สนามพัฒนา” และ “สนามโอกาส” ที่อาจเปลี่ยนอนาคตของนักเรียนหนึ่งคน ครอบครัวหนึ่งครอบครัว หรือชุมชนทั้งจังหวัดได้ในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคอีสานที่ขึ้นชื่อว่ามีเด็กเก่งด้านกีฬาอย่างมากมาย แต่ที่ผ่านมาอาจยังขาดเวทีระดับประเทศให้แจ้งเกิดอย่างเป็นระบบ รายการนี้จึงทำหน้าที่เหมือนสปอตไลต์ขนาดใหญ่ส่องไปยังอีสาน ทำให้ศักยภาพของเยาวชนปรากฏเด่นชัดขึ้นบนเวทีระดับชาตินั่นเอง กระแสที่ร้อนแรงที่สุดปีนี้ต้องยกให้กับ โรงเรียนหมอนทองวิทยา ซึ่งแม้ไม่ได้คว้าแชมป์ แต่ได้รับความสนใจมหาศาลจากแฟนกีฬา ด้วยสไตล์การเล่นอันเป็นเอกลักษณ์ การทำทีมที่มีระบบ และพลังสนับสนุนจากแฟนๆ จนเกิด “ฐานแฟนคลับ” ตามติดทุกแมตช์ กระทั่งกลายเป็นหนึ่งในโรงเรียนที่ถูกจับตามากที่สุดในรายการปีนี้ กระแสความนิยมของหมอนทองวิทยาทำให้เห็นว่ารายการนี้ไม่เพียงสร้างแชมป์เท่านั้น แต่ยังสร้าง “ปรากฏการณ์ทางสังคม” ที่ทำให้ผู้คนหันมาภูมิใจและร่วมสนับสนุนเด็กๆ กันมากขึ้น และสำหรับผลการแข่งขันปีล่าสุด (2025) ผู้ที่คว้าแชมป์ไปได้คือ โรงเรียนองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยนาท ซึ่งโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมและต่อเนื่อง  เมื่อมองย้อนกลับไปจะพบว่า ภาคอีสานเองก็มีทีมที่เคยสร้างประวัติศาสตร์บนเวทีนี้มาแล้วหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็น โรงเรียนกันทรารมณ์ จังหวัดศรีสะเกษ (แชมป์ปี 2023) หรือแม้กระทั่ง โรงเรียนภัทรบพิตร จังหวัดบุรีรัมย์ (แชมป์ปี 2024) ซึ่งทำให้เห็นว่า อีสานไม่ได้เป็นเพียงผู้เข้าร่วมเท่านั้น แต่ยังเป็น “ผู้ล่าแชมป์” ที่สร้างผลงานระดับประเทศได้อย่างต่อเนื่อง ความสำเร็จเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเยาวชนอีสานสามารถก้าวข้ามข้อจำกัดด้านทรัพยากร และพัฒนาไปสู่มาตรฐานการแข่งขันระดับชาติได้อย่างแท้จริง โดยมีทั้งโรงเรียนภูธร โรงเรียนขนาดกลาง และโรงเรียนกีฬาเฉพาะทางที่สามารถขึ้นมายืนบนโพเดียมแชมป์ได้สำเร็จนั่นเอง “เหล่าทัพนักฟุตบอลนักเรียนจากแดนอีสานก็ไม่น้อยหน้า” โดยในปีนี้สามารถผ่านเข้าสู่รอบ 32 ทีมได้หลายโรงเรียน แต่ละทีมมีคุณภาพสูงทั้งด้านทักษะ เทคนิคการเล่น และการฝึกซ้อมที่เข้มข้นจนเห็นได้ชัดว่าระบบการพัฒนาเยาวชนของอีสานกำลังแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ ที่สำคัญคือ ทุกทีมที่มาจากอีสานมีศักยภาพโดดเด่น ไม่ใช่ “ม้ามืด” แต่เป็น “ม้ามั่น” ที่พร้อมสู้ได้กับทุกภูมิภาคอย่างสูสี ทั้งยังมีสไตล์การเล่นรวดเร็ว ดุดัน การแข่งขัน “ฟุตบอลนักเรียน 7 คน รายการแชมป์กีฬา 7HD ” นี้แสดงให้เห็นว่าการพัฒนาเยาวชนในทุกภูมิภาคของไทยกำลังก้าวสู่ระดับที่ทัดเทียมกันมากขึ้น ไม่ใช่แค่โรงเรียนใหญ่หรือจังหวัดศูนย์กลางเท่านั้นที่มีโอกาสชนะ แต่ทุกพื้นที่มี “ศักยภาพที่พร้อมจะระเบิด” หากได้รับเวทีและระบบฝึกที่ดีพอนั่นเอง อีกทั้งยังงเป็น พื้นที่สร้างความหวังและความเป็นไปได้ใหม่ให้เด็กไทยทั้งประเทศ โดยเฉพาะเด็กอีสานที่มักถูกมองว่าขาดทรัพยากร เมื่อมีเวทีระดับชาติรองรับ พวกเขาจึงโชว์ให้เห็นว่า ความสามารถไม่ได้จำกัดด้วยพื้นที่หรือโอกาส แต่เกิดจากการฝึกฝน ความตั้งใจ และเวทีที่เปิดรับความฝันของพวกเขาอย่างแท้จริงนั่นเอง   อ้างอิงจาก: – เว็บไซต์ของ ช่อง 7HD   ติดตาม ISAN Insight

พาย้อนเบิ่ง “ทีมฟุตบอลนักเรียน” จากแดนอีสาน ในศึก “แชมป์กีฬา 7HD 2025” รอบ 32 ทีม อ่านเพิ่มเติม »

พามาฮู้จัก ตัวอย่าง อาณาจักร “แบรนด์เครื่องสำอาง” จากแดนอีสาน ที่ก้าวสู่ตลาดระดับประเทศ

“อาณาจักรธุรกิจความงาม” ได้กลายเป็นธุรกิจที่เติบโตอย่างรวดในไทย โดยเฉพาะในกลุ่ม แบรนด์เครื่องสำอางและสกินแคร์ที่เกิดจากผู้ประกอบการท้องถิ่น ที่สามารถใช้พลังของโลกออนไลน์อย่างเช่น TikTok Shop, Affiliate Marketing และ Live Stream มาเปลี่ยนภาพลักษณ์ของธุรกิจท้องถิ่นให้กลายเป็น “แบรนด์ระดับชาติ” ได้อย่างน่าทึ่ง สุรีย์พร (Sureeporn Cosmetics) แบรนด์จากอุดรธานี “สุรีย์พร” คือตัวอย่างของแบรนด์ที่ใช้กลยุทธ์ตลาดแบบ Mass Market ได้อย่างชาญฉลาด โดยผู้ก่อตั้ง คุณสุรีย์พร หรือที่เรารู้จักกันในนาม “มินิอาย ตันจัง” ที่ใช้ช่องทาง TikTok Shop เป็นหัวใจหลักในการกระจายสินค้าและสร้างฐานลูกค้าทั่วประเทศ โดยจุดเด่นของแบรนด์อยู่ที่ “คุณภาพที่เข้าถึงง่าย” และการสื่อสารแบบจริงใจ ทำให้สามารถครองใจกลุ่มผู้บริโภคในวงกว้างได้อย่างต่อเนื่อง และสินค้าขายดีของสุรีย์พรคือ แป้งพัฟสุรีย์พร ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์ โดยยอดขายของแบรนด์มีการเติบโตต่อเนื่องจนมีรายได้กว่า 260 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 2.2 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงพลังของแบรนด์ท้องถิ่นที่เข้าใจ “ตลาดมวลชน” อย่างแท้จริงนั่นเอง เจ้านาง (Chaonang) สร้างอาณาจักรด้วยกลยุทธ์อินฟลูเอนเซอร์ “เจ้านาง” ถือเป็นแบรนด์ที่พลิกเกมการตลาดออนไลน์ของอีสาน ด้วยกลยุทธ์ Affiliate Marketing และ Live Stream ที่ผสมผสานการขายแบบอินเทอร์แอคทีฟเข้ากับการสร้างภาพลักษณ์แบรนด์อย่างมืออาชีพ มีทีมผู้บริหารที่แข็งแกร่งนำโดย คุณปุ้ง – ธัญญ์ฐิตา ทรัพย์ศิริมารุกุล และคุณสิทธา สมควรดี ที่สร้างความสำเร็จผ่านการสื่อสารที่เข้าถึงง่ายแต่ทรงพลัง โดยสินค้าหลักคือ แป้งพัฟเจ้านาง ซึ่งโด่งดังจากรีวิวของผู้ใช้จริงทั่วประเทศ จนมียอดขายทะลุหลักร้อยล้านต่อปี โดยในปี 2567 มีรายได้รวมกว่า 240 ล้านบาท และกำไรสุทธิสูงถึง 43 ล้านบาท เจ้านางจึงเป็นกรณีศึกษาของแบรนด์ท้องถิ่นที่เข้าใจ “พลังของแพลตฟอร์มออนไลน์” ได้อย่างลึกซึ้ง ออร่าริช (Aura Rich) ความงามเชิงคุณค่าและการสร้างชุมชนแบรนด์ อีกหนึ่งแบรนด์จากขอนแก่นที่น่าจับตา คือ “ออร่าริช” ก่อตั้งโดย คุณวัช – สรรค์ธนกฤต กาญจน์วัฒกุล และ คุณยุ้ย – สุธประภา จันทรปภาพร ซึ่งเน้นการสร้างแบรนด์แบบ Community-Based Branding หรือ “สร้างชุมชนผู้บริโภค” ที่ผูกพันกับสินค้าและแนวคิดของแบรนด์ ออร่าริชใช้กลยุทธ์การตลาดที่ผสมผสานทั้งคุณภาพสินค้า การสื่อสารเชิงบวก และการสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้หญิงไทยที่อยากมีรายได้เสริมผ่านการขายออนไลน์ สินค้าเด่นคือ แป้งพัฟออร่าริช ซึ่งมียอดขายต่อเนื่องและแบรนด์ยังมีรายได้รวมกว่า 132 ล้านบาท กำไรสุทธิ 11 ล้านบาท ถือว่าเป็นแบรนด์ที่เติบโตอย่างยั่งยืนบนฐานความเชื่อมั่นของลูกค้า   ความสำเร็จของทั้งสามแบรนด์นั้นสะท้อนให้เห็นว่า มีผู้ประกอบการรุ่นใหม่ในอีสานสามารถใช้เทคโนโลยีและโซเชียลมีเดียสร้างธุรกิจที่มีมูลค่าสูงได้โดยไม่ต้องอยู่ในกรุงเทพฯ แบรนด์เหล่านี้ยังสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับเศรษฐกิจอีกด้วย ทั้งในแง่การจ้างงาน และการสร้างเครือข่ายซัพพลายเชนในภูมิภาค แบรนด์เครื่องสำอางเหล่านี้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า “คนอีสานบ้านเฮาก็มีศักยภาพไม่แพ้ใคร” ด้วยแนวคิดสร้างสรรค์ กลยุทธ์การตลาดทันสมัย และความเข้าใจผู้บริโภคอย่างลึกซึ้ง

พามาฮู้จัก ตัวอย่าง อาณาจักร “แบรนด์เครื่องสำอาง” จากแดนอีสาน ที่ก้าวสู่ตลาดระดับประเทศ อ่านเพิ่มเติม »

สีฐานเฟสติวัล 68 มข. ปังสุด🧡 3 วัน คนทะลักกว่า 4 แสนคน และมีเงินสะพัดรวมกว่า 1,100 ล้าน ตอกย้ำความเป็น “เทศกาลวัฒนธรรมนานาชาติ” ที่ทั้งศรัทธาและเศรษฐกิจเดินคู่กันอย่างแท้จริง🪷🌕

สีฐานเฟสติวัล 68 ที่เป็นทั้งวัฒนธรรม ศรัทธา และเศรษฐกิจที่เติบโตคู่กันในอีสาน มหาวิทยาลัยขอนแก่นจัดงาน “สีฐานเฟสติวัลนานาชาติ 2568” อย่างยิ่งใหญ่ภายใต้แนวคิด “สีฐาน นวธารา หิมาลายัน” โดยตลอด 3 วันของการจัดงานนั้นมีผู้เข้าร่วมกว่า 412,655 คน และสร้าง มูลค่าทางเศรษฐกิจรวมกว่า 1,100 ล้านบาทเลยทีเดียว ยิ่งตอกย้ำความเป็น “เทศกาลวัฒนธรรมนานาชาติ” ที่ทั้งศรัทธาและเศรษฐกิจเดินคู่กันอย่างแท้จริง งานสีฐานเฟสติวัลทำหน้าที่เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของระบบเศรษฐกิจเมืองขอนแก่น โดยการดึงดูดผู้คนจากทั่วประเทศและต่างประเทศให้หลั่งไหลเข้าสู่พื้นที่ในจังหวัด ทำให้เกิดอุปสงค์ต่อสินค้าและบริการในระดับสูง ทั้งค่าเดินทาง ที่พัก อาหาร ของฝาก และบริการโลจิสติกส์ การขนส่งในจังหวัดคึกคักตลอดช่วงเทศกาล ขณะที่โรงแรมและที่พักมีอัตราการเข้าพักสูง นับเป็น “การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเชิงพื้นที่” ที่ชัดเจนที่สุดอย่างหนึ่งของอีสานในปีนี้ ธุรกิจท้องถิ่น ทั้งร้านอาหาร คาเฟ่ ตลาดกลางคืน และบริการขนส่ง ต่างได้รับอานิสงส์โดยตรงจากจำนวนนักท่องเที่ยวมหาศาลที่เดินทางมาร่วมงานอีกด้วย อีกทั้งงานยังสร้างรายได้โดยตรงให้กับพ่อค้าแม่ค้าและผู้ประกอบการรายย่อย โดยมียอดเงินสะพัดภายในงานกว่า 31 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่หมุนเวียนอยู่ในมือของผู้ค้าท้องถิ่นและชุมชนรอบมหาวิทยาลัย นอกจากนี้ยังเกิดการจ้างงานระยะสั้นจำนวนมาก ทั้งในส่วนของแรงงานจัดสถานที่ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย พนักงานบริการ และผู้ผลิตสินค้าต่างๆ ซึ่งถือเป็นเศรษฐกิจชั่วคราวที่ช่วยเสริมรายได้ ขณะเดียวกันยังเปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ได้ฝึกฝนทักษะในด้านต่างๆ อย่างเช่น การบริหารจัดการงานอีเวนต์ การบริการ และการตลาดเชิงสร้างสรรค์ ซึ่งต่อยอดเป็นทุนมนุษย์ในระยะยาวนั่นเอง นอกจากนี้ งานยังมีผลต่อการท่องเที่ยว ภาพลักษณ์ของเทศกาลในฐานะงานวัฒนธรรมนานาชาติได้สร้างการรับรู้ใหม่ให้กับจังหวัดขอนแก่นว่าเป็น “เมืองแห่งเทศกาล” (Festival City) ที่เชื่อมโยงศิลปวัฒนธรรมกับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) ได้อย่างลงตัว มีนักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยได้ขยายการเดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยวใกล้เคียง ทำให้เกิดการกระจายตัวของรายได้สู่พื้นที่รอบข้างอีกด้วย งานสีฐานเฟสติวัลคือกรณีศึกษาสำคัญที่แสดงให้เห็นว่า วัฒนธรรมสามารถถูก “แปลงค่า” เป็นพลังทางเศรษฐกิจได้จริง ไม่เพียงแต่เป็นพื้นที่ของความศรัทธาและการแสดงอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการในท้องถิ่นได้พัฒนาแบรนด์ สร้างมูลค่าเพิ่ม และขยายตลาดสู่ระดับภูมิภาคและนานาชาติ อีกทั้งยังมีการจ้างงานระยะสั้น และการส่งเสริมการท่องเที่ยวต่อเนื่องในระยะยาว “สีฐานเฟสติวัล 68” นอกจากจะเป็นพื้นที่แสดงพลังของความศรัทธาและศิลปวัฒนธรรมอีสานแล้ว ยังช่วยสร้างภาพจำเชิงบวกให้กับเมืองขอนแก่นในฐานะ “เมืองแห่งเทศกาล (Festival City)” ที่สามารถผสมผสานศิลปะ วัฒนธรรม และเศรษฐกิจให้เป็นหนึ่งเดียวได้อย่างงดงามนั่นเอง งานสีฐานเฟสติวัลจึงไม่ได้เป็นเพียง “งานวัดใหญ่ของมหาวิทยาลัย” แต่เป็น กลไกเศรษฐกิจเชิงวัฒนธรรม ที่สามารถผลักดันเศรษฐกิจอีสานให้เติบโตด้วยทุนทางศิลปะและอัตลักษณ์ท้องถิ่นอย่างยั่งยืน สร้างความภาคภูมิใจให้กับชาวขอนแก่นและคนอีสานทั้งภูมิภาคนั่นเอง อ้างอิงจาก: – ศูนย์เศรษฐกิจสร้างสรรค์อีสาน (ISAN Creative Economy Center) – งานวิจัย “Creative Festival Economy and Local Regeneration”, DCMS – ข้อมูลสถิติจากงานสีฐานเฟสติวัลนานาชาติ 2568   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์

สีฐานเฟสติวัล 68 มข. ปังสุด🧡 3 วัน คนทะลักกว่า 4 แสนคน และมีเงินสะพัดรวมกว่า 1,100 ล้าน ตอกย้ำความเป็น “เทศกาลวัฒนธรรมนานาชาติ” ที่ทั้งศรัทธาและเศรษฐกิจเดินคู่กันอย่างแท้จริง🪷🌕 อ่านเพิ่มเติม »

อีสานบ้านเฮาสุดปัง! 6 จังหวัดคว้ารางวัลใหญ่ การประกวดผ้าลายพระราชทาน “สิริราชพัสตราภรณ์” ปี 68

สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีประกาศผลรางวัลการประกวดผ้าลายพระราชทาน “ผ้าลายสิริราชพัสตราภรณ์” และงานหัตถกรรม รอบชิงชนะเลิศระดับประเทศ ประจำปี 2568 ณ สุราลัยฮอลล์ ชั้น 7 ศูนย์การค้าไอคอนสยาม เขตคลองสาน กรุงเทพฯ โดยมีนายสุรศักดิ์ อักษรกุล อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชนพร้อมคณะผู้บริหารเฝ้ารับเสด็จอย่างพร้อมเพรียง งานปีนี้ได้รับผลงานส่งเข้าประกวดทั้งสิ้น 8,903 ชิ้น โดยคณะกรรมการคัดเลือกผลงานเข้ารอบชิงชนะเลิศในระดับชาติได้แก่ผ้า 54 ผืน และงานหัตถกรรม 5 ชิ้น ก่อนคัดเลือกมอบรางวัลใน 15 ประเภทต่าง ๆ ซึ่งครอบคลุมเทคนิคการทอ ตลอดจนลวดลายและงานฝีมือพื้นถิ่นหลากหลายภูมิภาค  โดยภาคอีสานของเราสร้างความภาคภูมิใจอย่างยิ่งอีกครั้ง ด้วยการคว้ารางวัล ชนะเลิศเหรียญทองถึง 9 ประเภท จากทั้งหมด 15 ประเภท ถือเป็นผลงานที่สะท้อนพลังแห่งภูมิปัญญา ช่างฝีมือ และความงดงามของผ้าไทยอีสานได้อย่างทรงคุณค่า ทั้งในด้านศิลป์ วัฒนธรรม และจิตวิญญาณของผู้คนบนผืนแผ่นดินที่ยังคงรักษา “เส้นไหมแห่งชีวิต” ไว้อย่างงดงามและทรงพลังที่สุดในประเทศ 📍อุดรธานี 🧵ประเภทผ้าขิด✅ ดอกพุดตานบานที่บ้านเชียง จากกลุ่มเฮือนไหมมนัสวรรณ ไหมแท้ที่แม่ทอ โดยนายวันเฉลิม ศรีภุยเดช  📍ร้อยเอ็ด 🧵ประเภทผ้าเทคนิคสร้างสรรค์✅ สร้างสรรค์ไหมมัดหมี่ ใต้ร่มพระบารมีสิริราชพัสตราภรณ์ กลุ่มที จัตุวัน ไทยซิลค์ โดยนายทวีศักดิ์ จัตุวัน  📍กาฬสินธุ์ 🧵ประเภทผ้าจากกลุ่มชาติพันธุ์ เพื่องอุบะดอกไม้ถวายราชนารี กลุ่มผ้าทอลายมงคลมนตราธิกาญจน์ โดยนายจักรวรรดิวัตร ปรีจำรัส 🧵ประเภทผ้าแพรวา สิริราชพัสตราภรณ์ กลุ่มชุมชนภูไทดำ โดยนายพงษ์ชยุตน์ โพนะทา  🧵ประเภทผ้ายกเล็ก สิริราสพัตราภรณ์อาภรณ์แห่งความรักภักดี กลุ่มผ้าทอลายมงคลมนตราธิกาญจน์ โดยนายจักรวรรดิวัตร ปรีจำรัส 📍สุรินทร์ 🧵ประเภทผ้าจก/ผ้าตีนจก มยุราสิริราชพัสตราภรณ์ กลุ่มทอผ้าหัสดินทร์ โดยนายภณพล คิดสำราญ 🧵ประเภทผ้ามัดหมี่ 2 ตะกอ สิริราชพัสตราภรณ์ กลุ่มเจริญกิจนิยมชื่อ โดยนายเจริญกิจ นิยมชื่อ 📍บุรีรัมย์ 🧵ประเภทผ้ามัดหมี่ 3 ตะกอ ขึ้นไป สิริราชพัสตราภรณ์ กลุ่มทอผ้าไหมบ้านทุ่งสว่าง โดยนายธีรเดช กลายไพร 📍ชัยภูมิ 🧵ประเภทผ้าหมี่ข้อ/หมี่คั่น มยุรสิริชมดอกพุดตาน กลุ่มไหมมีชัย โดยนายเนติพงศ์ กระแสโสม โดยผู้ชนะรางวัลทั้งหลายจะเข้ารับพระราชทานเหรียญรางวัลในงาน Silk Festival ช่วงเดือนธันวาคม 2568 ซึ่งนับเป็นโอกาสสำคัญที่จะเชื่อมโยงผลงานหัตถกรรมเข้ากับผู้ชมวงกว้างและตลาดที่มีศักยภาพต่อไป งานประกวดครั้งนี้ไม่ได้เป็นแค่เพียงเวทีโชว์ฝีมือเท่านั้น แต่ยังเป็นการฟื้นฟูและการถ่ายทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นในระดับชาติ ไม่ว่าจะเป็นการที่ผลงานจากชุมชนต่างจังหวัดได้รับการยกย่องเป็นสัญญาณว่าระบบการเรียนรู้และการรวมกลุ่มผลิตภัณฑ์ยังมีความเข้มแข็ง จากการรวมกลุ่มทอผ้า กระบวนการถ่ายทอดทักษะจากรุ่นสู่รุ่น และการออกแบบลายที่ตอบโจทย์ทั้งเชิงสุนทรียะและการตลาด อีกทั้งเป็นการเชื่อมโยงลวดลายกับตราสัญลักษณ์พระราชลักษณ์ (สิริราชพัสตราภรณ์) สร้างคุณค่าทางสัญลักษณ์ที่ช่วยยกระดับมูลค่าผลิตภัณฑ์ ทำให้ช่างท้องถิ่นมีพื้นที่ในตลาดสินค้าหัตถกรรมที่ต้องการตราประทับคุณภาพและเรื่องเล่า ทั้งนี้ ยังเปิดช่องให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์เชิงนวัตกรรมที่ผสานเทคนิคดั้งเดิมกับความต้องการผู้บริโภคยุคใหม่อีกด้วย   อ้างอิงจาก:

อีสานบ้านเฮาสุดปัง! 6 จังหวัดคว้ารางวัลใหญ่ การประกวดผ้าลายพระราชทาน “สิริราชพัสตราภรณ์” ปี 68 อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top