ภาคอีสานในปัจจุบันเป็นพื้นที่ที่มีประชากรมากถึง 21.5 ล้านคน หรือ 33% ของประเทศ ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงที่สุดในประเทศไทย ภายในภูมิภาคนี้มีผู้คนจากทุกเจเนอเรชั่นอาศัยอยู่ร่วมกัน แต่ละรุ่นเติบโตมาพร้อมกับบริบททางสังคมและเหตุการณ์สำคัญที่แตกต่างกันไป ส่งผลให้ทัศนคติ ค่านิยม และรูปแบบการดำรงชีวิตของแต่ละรุ่นไม่เหมือนกัน
เมื่อเจเนอเรชั่นต่างกัน โลกที่เติบโตมาก็ไม่เหมือน
คนที่เกิดในช่วง Silent Generation (ก่อนปี พ.ศ. 2488) และ Baby Boomers (พ.ศ. 2489-2507) เติบโตท่ามกลางยุคที่เศรษฐกิจไทยยังพึ่งพาภาคเกษตรกรรมเป็นหลัก พวกเขาได้เห็นการเปลี่ยนผ่านจากสังคมเกษตรดั้งเดิมสู่ยุคที่รัฐบาลเริ่มส่งเสริมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและอุตสาหกรรมเบา Silent Generation ที่เกิดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ พวกเขาจะมีลักษณะประนีประนอม อดทนต่อระบอบระเบียบ และมุ่งเน้นความมั่นคง ส่วน Baby Boomers ที่ผ่านยุคสงครามเย็นและการสร้างถนนมิตรภาพในอีสาน เป็นคนที่มีชีวิตเพื่อการทำงาน ยึดมั่นในกฎเกณฑ์ และให้ความสำคัญกับครอบครัว คนรุ่นนี้มักสั่งสมภูมิปัญญาการเกษตรจากการลงมือทำจริง เข้าใจดินฟ้าอากาศในพื้นที่ และมีเครือข่ายทางสังคมที่แน่นแฟ้น
เมื่อก้าวเข้าสู่ยุค Generation X (พ.ศ. 2508-2522) ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ช่วงเศรษฐกิจขยายตัวสูงในทศวรรษ พ.ศ. 2520-2530 ที่เรียกว่า “ยุคทองของเศรษฐกิจไทย” ก่อนเกิดวิกฤตต้มยำกุ้งในปี พ.ศ. 2540 Gen X ที่ผ่านเหตุการณ์ 14 ตุลาคม จึงเติบโตท่ามกลางความหวังในการพัฒนาประเทศ การขยายตัวของอุตสาหกรรมและภาคบริการ รวมถึงการเริ่มต้นของเทคโนโลยีสารสนเทศ พวกเขาจึงมีทั้งประสบการณ์การบริหารจัดการธุรกิจ กำลังซื้อที่มั่นคง และความเข้าใจในการเชื่อมโยงระหว่างวิถีเก่ากับโลกธุรกิจสมัยใหม่ เป็นเจเนอเรชั่นกึ่งกลางที่เชื่อมโยงคนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ด้วยความยืดหยุ่นและปรับตัวได้ดี
ส่วน Generation Y หรือ Millennials (พ.ศ. 2523-2537) และ Generation Z (พ.ศ. 2538-2552) เติบโตมาในยุคที่อินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวัน Gen Y ที่ผ่านกระแสวัฒนธรรมตะวันตกและพฤษภาทมิฬ คาบเกี่ยวระหว่างยุคแอนะล็อกและดิจิทัล มีความเป็นปัจเจกนิยมสูง และริเริ่มการสร้างสมดุลระหว่างงานกับชีวิต โดยเฉพาะ Gen Z ที่เกิดมาพร้อมกับยุคสมาร์ทโฟนและโซเชียลมีเดีย ผ่านวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งและการเข้ามาของอินเทอร์เน็ต พวกเขาได้เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี การค้าออนไลน์ และการเข้าสู่ยุค Digital Transformation เป็นรุ่นที่มีความคล่องแคล่วทางเทคโนโลยีสูง รักอิสระ และกล้าตั้งคำถามต่อบรรทัดฐานเดิม คนรุ่นนี้จึงมีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีดิจิทัล การตลาดออนไลน์ การจัดการข้อมูล และแนวคิดธุรกิจที่ยืดหยุ่น

ที่มา กรมการปกครอง
การเคลื่อนย้ายถิ่นฐาน จากความจำเป็นสู่การแสวงหาโอกาส
ความแตกต่างระหว่างเจเนอเรชั่นเหล่านี้สะท้อนให้เห็นชัดเจนผ่านพฤติกรรมการย้ายถิ่นฐานของผู้คนในภาคอีสาน ในอดีต Baby Boomers และ Gen X จำนวนมากต้องเดินทางออกจากบ้านเกิดไปทำงานยังกรุงเทพฯ หรือนิคมอุตสาหกรรมด้วยความจำเป็นทางเศรษฐกิจ พวกเขาส่งเงินกลับบ้านเพื่อพยุงภาคเกษตรและเลี้ยงดูครอบครัว การย้ายถิ่นในยุคนั้นไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นหนทางเอาตัวรอดท่ามกลางความยากจนและโอกาสที่จำกัดในชนบท
แต่เมื่อเข้าสู่ยุคของ Gen Y และ Gen Z ภาพนี้เริ่มเปลี่ยนไป แม้ว่าการย้ายถิ่นฐานยังคงเกิดขึ้น แต่ลักษณะและเป้าหมายกลับแตกต่างไป หลายคนเลือกที่จะไม่ไปไกลถึงเมืองหลวงอีกต่อไป แต่กลับหันมาทำงานหรือประกอบธุรกิจในจังหวัดศูนย์กลางเศรษฐกิจของภูมิภาค เช่น นครราชสีมา ขอนแก่น หรืออุดรธานี ที่ภาคบริการและธุรกิจขนส่งพัสดุกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วจากการขยายตัวของ E-commerce คนรุ่นใหม่เหล่านี้ไม่ได้ย้ายเพราะความจำเป็นเท่านั้น แต่เป็นการแสวงหาโอกาสใหม่ที่สอดคล้องกับทักษะของตนและให้ผลตอบแทนที่เร็วกว่า
การเปลี่ยนแปลงนี้ทิ้งโจทย์สำคัญไว้ให้กับภาคเกษตรดั้งเดิมในอีสาน เมื่อคนรุ่นใหม่หันหลังให้กับการทำเกษตรกรรมและมุ่งหน้าสู่อาชีพที่ตลาดต้องการ แรงงานในภาคเกษตรที่ยังคงอยู่ในพื้นที่ส่วนใหญ่จึงเป็นคนรุ่นเก่าที่มีอายุมาก ซึ่งยังคงใช้องค์ความรู้และวิถีเกษตรแบบดั้งเดิมที่สั่งสมมาตลอดชีวิต ทั้งนี้ โครงสร้างเศรษฐกิจของภาคอีสานยังคงพึ่งพาภาคการเกษตรเป็นหลัก โดยมีผู้มีงานทำ 53% อยู่ในภาคการเกษตร รองลงมาคือการบริการ 20% การค้า 15% การผลิต 7% และการก่อสร้าง 5%
เมื่อภาคเกษตรเผชิญหน้ากับความท้าทายใหม่
ปัญหาที่ภาคเกษตรอีสานกำลังเผชิญไม่ได้มีเพียงเรื่องแรงงานที่หายไปเท่านั้น ในเดือนตุลาคม 2568 ธนาคารแห่งประเทศไทยชี้ว่า รายได้ของเกษตรกรภาคอีสานมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องตามราคาพืชเศรษฐกิจหลัก เช่น ยางพารา มันสำปะหลัง และอ้อย แม้ว่าปริมาณผลผลิตโดยรวมจะขยายตัวก็ตาม สาเหตุสำคัญมาจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นของไทยและคุณภาพที่ต่ำกว่าคู่แข่งอย่างเวียดนาม
นอกจากนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังระบุว่า จีนซึ่งเป็นตลาดส่งออกสินค้าเกษตรอันดับ 1 ของไทย กำลังนำเข้าธัญพืชลดลงในปีนี้เนื่องจากเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวช้า ความต้องการสินค้าเติบโตชะลอตัว และการระบายสต๊อกธัญพืชและพืชอาหารของจีนนั้นล้วนกดดันการส่งออกมันสำปะหลังและข้าวไทยไปจีนให้ลดลง ด้วยเหตุนี้ จึงมีการคาดการณ์ว่าตลอดทั้งปี 2568 เศรษฐกิจอีสานจะเติบโตในอัตราที่ต่ำเพียง 0.5-1.5%
ท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้ เกษตรกรรมแบบดั้งเดิมของคนรุ่นเก่ากำลังเผชิญความจริงที่ว่า วิถีที่พวกเขาใช้มาตลอดชีวิตอาจใช้ไม่ได้ผลกับยุคสมัยนี้แล้ว ปัจจัยทางสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง กฎกติกาการค้าที่ซับซ้อน ความไม่แน่นอนทางนโยบาย และการเข้ามาแทนที่ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ล้วนเป็นสิ่งที่เกษตรกรรุ่นเก่าไม่เคยเผชิญมาก่อน แม้พวกเขาจะมี Know-How หรือความเชี่ยวชาญในการเกษตรและการจัดการทรัพยากรดินน้ำแบบดั้งเดิม แต่ความรู้เหล่านั้นก็ยังไม่เพียงพอที่จะรับมือกับโลกที่เปลี่ยนไป
เมื่อช่องว่างระหว่างวัยกลายเป็นโอกาส
หากมองในมุมกลับ ความท้าทายนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นของโอกาสใหม่ที่จะเกิดขึ้นได้ เพราะภาคอีสานมีจุดแข็งด้านโครงสร้างประชากรที่มีมากถึง 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมดในประเทศไทย หากเราสามารถนำจุดแข็งของคนรุ่นใหม่อย่าง Gen Y และ Z ที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี การตลาดออนไลน์ และการจัดการข้อมูล มาทำงานร่วมกับคนรุ่นเก่าที่มีที่ดินและองค์ความรู้ทางการเกษตรจากประสบการณ์ตรงที่สั่งสมมานาน โอกาสใหม่ที่ไม่ใช่แค่การเกษตรแบบดั้งเดิมและเสียเปรียบด้านต้นทุนก็จะเกิดขึ้น
ตัวอย่างเช่น คนรุ่นใหม่สามารถพัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อจัดการฟาร์ม (Smart Farming) ที่ช่วยให้เกษตรกรรุ่นเก่าติดตามสภาพอากาศ ความชื้นในดิน และวางแผนการเพาะปลูกได้แม่นยำขึ้น พวกเขาสามารถนำสินค้าเกษตรอีสานไปขายผ่าน E-commerce และ Social Media ด้วยการสร้างแบรนด์ผ่านการเล่าเรื่อง ที่ทำให้ผู้บริโภครู้สึกเชื่อมโยงกับต้นทางผลผลิต หรือให้บริการโดรนทางการเกษตรที่ช่วยลดต้นทุนแรงงานและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
ในขณะเดียวกัน คนรุ่น Gen X ที่มีกำลังซื้อหลักและประสบการณ์บริหารจัดการ สามารถเป็นผู้ลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีเกษตร เป็นผู้บริหารหรือผู้ประกอบการธุรกิจ SMEs ในอีสาน และที่สำคัญคือเป็นตัวกลางเชื่อมระหว่างรุ่นที่ช่วยให้ทุกคนเข้าใจและไว้วางใจกัน ส่วน Baby Boomers และ Silent Generation ที่มีภูมิปัญญาดั้งเดิม ประสบการณ์การทำเกษตรในพื้นที่ และเครือข่ายทางสังคม สามารถถ่ายทอดความรู้เรื่องสายพันธุ์พืชหรือวิธีการเพาะปลูกเฉพาะถิ่น รวมถึงรวมกลุ่มเพื่อสร้างอำนาจต่อรองด้านราคา
การผสมผสานความรู้ข้ามเจเนอเรชั่นนี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่การทำเกษตรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังเปิดโอกาสให้เกษตรกรเข้าถึงกลไกทางการเงินใหม่ๆ เช่น เครดิตสิ่งแวดล้อม (Environmental Credits) ที่กำลังเป็นที่สนใจในระดับโลก เกษตรกรที่หันมาทำเกษตรแบบฟื้นฟู (Regenerative Agriculture) ซึ่งให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูดินและระบบนิเวศ จะสามารถสร้างรายได้ไม่เพียงจากการขายผลผลิตมูลค่าสูง แต่ยังรวมถึงการขายคาร์บอนเครดิตด้วย
อย่างไรก็ตาม การเข้าถึงระบบเหล่านี้ต้องอาศัยการวัดผลและการรายงานข้อมูลที่ซับซ้อน (MRV) ซึ่งเกษตรกรรุ่นเก่าอาจขาดทักษะและทำเองได้ยาก แต่สำหรับคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ด้านเทคโนโลยี การจัดการข้อมูลเหล่านี้กลับเป็นเรื่องที่ทำได้โดยไม่ยากนัก
จากผู้ผลิตดิบสู่ผู้ประกอบการสมัยใหม่
การผสมผสานความรู้และทักษะจากทุกเจเนอเรชั่นจะเปลี่ยนบทบาทของเกษตรกรอีสานจากการเป็นเพียงผู้ผลิตดิบที่ทั้งต้นทุนสูงและรายได้ต่ำ ให้กลายเป็นผู้ประกอบการธุรกิจเกษตรสมัยใหม่ที่ใช้ต้นทุนต่ำลงจากการหันมาเพิ่มพูนทักษะทางด้านเทคโนโลยีเข้ามาช่วย พร้อมกับการรักษาฐานทรัพยากรธรรมชาติไว้อย่างยั่งยืน
จะเห็นได้ว่า กลไกสำคัญในการเพิ่มพูนทักษะและสร้างโอกาสการเติบโตใหม่ของภาคอีสาน ไม่ใช่การทดแทนหรือทิ้งภูมิปัญญาของกลุ่มคนรุ่นใดรุ่นหนึ่ง หากแต่เป็นการสร้างความเข้าใจและแบ่งปันองค์ความรู้และทักษะความถนัดผ่านการต่อยอดและผสมผสานของแต่ละเจเนอเรชั่นเข้าด้วยกัน แนวทางดังกล่าวไม่เพียงช่วยลดต้นทุนเพื่อเพิ่มผลผลิตและรายได้ให้กับเกษตรกรเท่านั้น แต่ยังเป็นการ “ลดช่องว่างระหว่างวัย” พร้อมกับการเพิ่มพลัง “การขับเคลื่อนเศรษฐกิจอีสาน” อย่างยั่งยืนในระยะยาว ทั้งในมิติทางเศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิตของผู้คนทุกช่วงวัย
ในห้วงเปลี่ยนผ่านของช่วงวัยในอีสาน ประสบการณ์ที่สั่งสมมายาวนานของคนรุ่นเก่า และความฝันของคนรุ่นใหม่อาจเป็นคำตอบเดียวกัน หากทั้งสองได้มีโอกาส “เดินเคียงข้างไปพร้อมกัน” เพราะที่สุดแล้ว ความเข้มแข็งที่แท้จริงไม่ได้มาจากการที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชนะ แต่มาจากการที่ทุกคนได้ร่วมสร้างอนาคตที่ดีกว่าไปด้วยกัน
อ้างอิง
กรมการปกครอง
กรมการพัฒนาชุมชน
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
[บทความ] “ก้าวข้ามความแตกต่าง: เติมเต็มช่องว่างระหว่างวัย”. คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ประชาชาติธุรกิจ
สำนักงานสถิติแห่งชาติ
ForeToday Thailand
Sanook.com

