ความยากจนข้นแค้นและสายลมหน้าแล้งที่พัดผ่านท้องนาในภาคอีสาน สิ่งเหล่านี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวของหลายชีวิตในภาคอีสานที่ต้องออกเดินทางเพื่อความอยู่รอด จากชาวไร่ชาวนาในหมู่บ้านเล็ก ๆ สู่แรงงานในเมืองกรุง และยังมีพี่น้องชาวอีสานอีกจำนวนไม่น้อยที่ต้องเดินทางไกลไปเผชิญชีวิตยังต่างแดน พวกเขาเหล่านี้ต้องจากบ้านเกิดเมืองนอน ห่างไกลจากครอบครัวและบุคคลอันเป็นที่รักเป็นเวลาหลายปี ซึ่งแน่นอนว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องราวของพี่น้องชาวอีสานที่ไปทำงานในต่างแดนเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องราวของความพยายาม ความฝัน และการดิ้นรนของผู้คนในการแสวงหาโอกาสใหม่ในชีวิตเพื่อให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นกว่าเดิม
เรามักจะทราบกันดีว่า อาชีพหลักของผู้คนในภาคอีสานคือการประกอบอาชีพเกี่ยวกับเกษตรกรรม ซึ่งมีผู้ประกอบอาชีพภาคการเกษตรมากถึง 3.8 ล้านครัวเรือน และพื้นที่กว่า 63.9 ล้านไร่ ในภาคอีสานได้ถูกทำให้เป็นพื้นที่ทำการเกษตร แต่เนื่องด้วยผลผลิตทางการเกษตรเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน มีความเสี่ยงสูงแต่ผลตอบแทนต่ำ ทำให้รายได้ของเกษตรกรในภาคอีสานไม่เพียงพอต่อการจุนเจือครอบครัว และมักประสบปัญหาหนี้สินเรื้อรัง โดยภาคอีสานมีหนี้สินครัวเรือนสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วประเทศถึง 12.2%
จากการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน ในปี 2568 (6 เดือนแรก) ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่าภาคอีสานมีรายได้เฉลี่ยรายเดือนต่อคนต่ำกว่าภูมิภาคอื่น ๆ ดังนี้
1. กรุงเทพฯ – ปริมณฑล 48.7%
2. ภาคกลาง 27%
3. ภาคใต้ 19.3%
4. ภาคเหนือ 1%
ด้วยข้อจำกัดทางด้านเกษตรกรรม ความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ ทำให้ภาคอีสานมีปัญหาทางด้านเศรษฐกิจมากกว่าภูมิภาคอื่น และในขณะเดียวกันยังมีข้อจำกัดของโอกาสในการจ้างงาน เนื่องจากประเทศไทยมีโครงสร้างเศรษฐกิจแบบศูนย์รวม ความเจริญจึงกระจุกตัวอยู่ในเมืองหลวงและนิคมอุตสาหกรรม ชาวอีสานหลายคนจึงเลือกเดินทางไปทำงานยังพื้นที่ที่มีความเจริญมากกว่า
นอกจากเดินทางไปทำงานภายในประเทศแล้ว พบว่ายังมีชาวอีสานหลายคนเลือกไปทำงานยังต่างประเทศ โดยจำนวนคนหางานที่ได้รับอนุญาตให้เดินทางไปทำงานต่างประเทศ ประจำปี 2568 (มกราคม – ตุลาคม) จากกองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ พบว่า 64.51% เป็นแรงงานที่มาจากภาคอีสาน ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงกว่าจำนวนแรงงานจากทุกภาคอื่นรวมกัน อิสราเอล ไต้หวัน และเกาหลีใต้ เป็นประเทศปลายทางที่มีคนอีสานไปทำงานมากที่สุด ซึ่งอาชีพที่แรงงานอีสานไปทำมากที่สุดคือ แรงงานภาคการเกษตรและภาคอุตสาหกรรม
ทั้งนี้ ข้อมูลประมาณการรายได้ที่คนหางานไทยในต่างประเทศส่งกลับโดยผ่านระบบธนาคารแห่งประเทศไทย ตั้งแต่ มกราคม – ตุลาคม ปี 2568 มีจำนวนรวมทั้งสิ้นสูงถึง 248,113 ล้านบาทจากแนวโน้มดังกล่าว สามารถจัดอันดับ 5 จังหวัดในภาคอีสานที่มีคนเดินทางไปทำงานต่างประเทศมากที่สุด ได้ดังนี้
1. จังหวัดอุดรธานี คิดเป็นสัดส่วน 18.9% ส่วนใหญ่เดินทางไปยังไต้หวัน รองลงมาคืออิสราเอล และเกาหลีใต้
2. จังหวัดนครราชสีมา คิดเป็นสัดส่วน 10.7% โดยมีปลายทางสำคัญ ได้แก่ ไต้หวัน อิสราเอล และญี่ปุ่น
3. จังหวัดขอนแก่น คิดเป็นสัดส่วน 8% โดยประเทศปลายทางที่ได้รับความนิยม ได้แก่ ไต้หวัน อิสราเอล และฟินแลนด์ ตามลำดับ
4. จังหวัดชัยภูมิ คิดเป็นสัดส่วน 7.98% โดยแรงงานจำนวนมากเลือกเดินทางไปยังฟินแลนด์ ไต้หวัน และอิสราเอล
5. จังหวัดสกลนคร คิดเป็นสัดส่วน 6.6% โดยมีปลายทางสำคัญ ได้แก่ อิสราเอล ไต้หวัน ญี่ปุ่น
จากที่กล่าวมานั้น ทุกคนเคยสงสัยไหมว่าการย้ายถิ่นของแรงงานอีสานออกสู่ต่างประเทศเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด และมีความเป็นมาอย่างไร วันนี้ ISAN Insight จะมาเว้าสู่ฟัง
ในช่วงทศวรรษ 2500 ประเทศไทยเริ่มเผชิญการเปลี่ยนแปลงสำคัญด้านโครงสร้างประชากรและเศรษฐกิจ ควบคู่กับรัฐบาลมีโครงการพัฒนาพื้นที่ในชนบทเพื่อต้านคอมมิวนิสต์และการขยายเครือข่ายคมนาคม โดยเฉพาะการสร้างถนนมิตรภาพที่เชื่อมกรุงเทพฯ กับภาคอีสาน ทำให้การคมนาคมระหว่างเมืองหลวงกับภาคอีสานสะดวกมากขึ้น
สิ่งเหล่านี้ล้วนมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นการย้ายถิ่นของแรงงานอีสานเข้าสู่เมืองหลวง เมื่อประชากรชาวอีสานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และการมีขีดจำกัดในการขยายพื้นที่เกษตรกรรม ทำให้ชายหญิงชาวอีสานจำนวนมากจึงเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อหางานทำเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตนเองและครอบครัว ผลสำรวจในปี พ.ศ. 2506 พบว่าเกือบ 30% ของชายอายุต่ำกว่า 20 ปีในหมู่บ้านอีสาน เคยย้ายถิ่นไปทำงานที่กรุงเทพฯ สิ่งนี้ได้สะท้อนให้เห็นว่าการเคลื่อนย้ายแรงงานสู่เมืองใหญ่ได้เริ่มกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตในภาคอีสาน
ทั้งนี้ ในช่วงเวลานี้ก็ได้มีการประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2504-2509) รัฐไทยมีการริเริ่มวางรากฐานการเปลี่ยนผ่านประเทศจากสังคมเกษตรกรรมไปสู่อุตสาหกรรมอย่างจริงจัง นโยบายพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เศรษฐกิจเมือง และการลงทุนจากต่างประเทศ ได้ดึงแรงงานอีสานจำนวนมากจากภาคการเกษตรเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมและบริการในเมือง
จากบริบททั้งหมดนี้ นำไปสู่คำถามสำคัญว่า “แล้วกระแสแรงงานอีสานย้ายถิ่นออกสู่ต่างประเทศเริ่มต้นเมื่อใด และมีพัฒนาการอย่างไร” ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการขยายพื้นที่การย้ายถิ่นจากภายในประเทศไปสู่ตลาดแรงงานระหว่างประเทศในเวลาต่อมา
การเดินทางไปทำงานต่างประเทศของแรงงานอีสานก่อนปี พ.ศ.2516 ยังไม่ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนมากนัก เพราะการทยอยไปทำงานยังต่างประเทศในแต่ละครั้งมีจำนวนคนไม่มากและเป็นการเดินทางไปด้วยตนเอง ไม่มีการติดต่อผ่านบริษัทจัดหางาน หรือหน่วยงานราชการ แต่ได้เริ่มปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน ในช่วง ปี 2518 อันเป็นช่วงที่สงครามเวียดนามได้ยุติลง ทำให้สหรัฐอเมริกาถอนทัพทั้ง 7 แห่ง ออกจากประเทศไทย (4 แห่ง อยู่ในภาคอีสาน) ส่งผลให้แรงงานไทยโดยเฉพาะแรงงานในจังหวัดอุดรธานีที่ทำงานอยู่กับฐานทัพสหรัฐอเมริกาหลายหมื่นคนเกิดการว่างงาน รวมทั้งเศรษฐกิจไทยในช่วงนี้เกิดการชะลอตัว
รัฐบาลไทยจึงได้มีการใช้นโยบายส่งออกแรงงานไทยไปยังประเทศแถบตะวันออกกลาง เช่น ซาอุดิอาระเบีย ลิเบีย อิรัก คูเวต สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และกาตาร์ เพราะการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน ทำให้ประเทศที่ผลิตน้ำมันเหล่านี้จำเป็นต้องจ้างแรงงานอพยพ โดยเฉพาะในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งประเทศเหล่านี้รับแรงงานไทยมากกว่า 80-90% โดยแรงงานส่วนใหญ่เป็นแรงงานที่ใช้กำลังเป็นหลัก ทั้งนี้ยังพบว่าแรงงานส่วนใหญ่ที่จัดส่งไปมาจากครอบครัวที่ทำการเกษตร และเป็นแรงงานที่เคยทำงานอยู่กับฐานทัพสหรัฐอเมริกา
ในปี พ.ศ.2518 – 2532 เรียกได้ว่าเป็นยุคทองของแรงงานอีสานในตะวันออกกลาง มีชาวอีสานหลายคนเดินทางจากบ้านเกิดเมืองนอนเพื่อไปทำงานหาเงินที่ตะวันออกกลาง ไม่ว่าจะเป็นงานก่อสร้าง แรงงานบริการ หรือแรงงานฝีมือ แต่แล้วยุคมืดของการขุดทองในตะวันออกกลางก็คลืบคลานเข้ามา
ตั้งแต่ปี พ.ศ.2533 เป็นต้นมา การส่งออกแรงงานไทยไปยังตะวันออกกลางเริ่มมีปัญหาและอุปสรรคประเทศในแถบตะวันออกกลางมีการหยุดออก VISA ให้แรงงานไทย ซึ่งเกิดจากสาเหตุหลัก ดังนี้
1. เกิดคดีฆาตกรรมเจ้าหน้าที่สถานทูตซาอุดิอาระเบียประจำประเทศไทย
2. เกิดคดีมีคนไทยได้ทำการโจรกรรมเพชรจากประเทศซาอุดิอาระเบีย
3. วิกฤตการณ์ในอ่าวเปอร์เซีย
4. ปัญหาทางการเมืองระหว่างสหรัฐอเมริกากับประเทศลิเบีย
5. จากความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมีความตึงเครียด และเกิดเหตุการณ์ด้านความมั่นคงหลายกรณี
ในช่วงทศวรรษ 2530-2540 ทำให้ตลาดแรงงานในตะวันออกกลางซบลง และการออกวีซ่าถูกจำกัดอย่างเข้มงวด ทำให้ปลายทางหลักของแรงงานอีสานได้เปลี่ยนมาเป็นประเทศในเอเชียแทน โดยเฉพาะ ไต้หวัน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ประเทศเหล่านี้มีเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเติบโตสูง และต้องการแรงงานจำนวนมาก
การไปทำงานต่างประเทศของชาวอีสานได้สร้างการเปลี่ยนแปลงต่อชีวิตและชุมชนของชาวอีสานอย่างมาก เงินที่ส่งกลับมายังบ้านเกิดได้กลายเป็นรายได้สำคัญของครอบครัว ใช้สร้างบ้าน ซื้อที่นา ส่งลูกเรียน และยกระดับคุณภาพชีวิตของหมู่บ้าน
เรื่องราวของแรงงานอีสานนี้คือประวัติศาสตร์ของการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม อันเริ่มจากชีวิตในผืนนาเล็ก ๆ สู่ชีวิตในต่างแดน จากท้องนาที่แห้งแล้งสู่ต่างแดนที่เต็มไปด้วยความหวัง ด้วย พลังแห่งความอดทนและความมุ่งมั่นที่จะสร้างชีวิตให้ดีกว่าเดิม เงินทุกบาทที่ส่งกลับบ้านที่แลกมาด้วยหยาดเหงื่อ หยดน้ำตา และพลังแห่งความรักของคนที่จากบ้านเกิดเมืองนอน ด้วยเหตุเพียงเพราะให้คนที่บ้านได้อิ่มปากอิ่มท้อง และเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีกว่าเดิม
การเดินทางไปต่างแดนนี้จึงยังคงเป็น ‘ความหวังเดียว’ ที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของใครหลายคน
หมายเหตุ : จำนวนครัวเรือนเกษตรกร เป็นข้อมูลปี 2566, พื้นที่ทำการเกษตร ข้อมูลปี 2560, หนี้สิน
ครัวเรือน มาจากการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน ในปี 2568 (6 เดือนแรก) ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ
อ้างอิงจาก
– https://so03.tci-thaijo.org/index.php/liberalarts/article/view/248638/173807
– อาชีพหลัก vs รายได้หลักของคนอีสาน – อีสานอินไซต์
– ครัวเรือนเกษตรกรและเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียน – Open Government Data of Thailand
– https://www.jstage.jst.go.jp/article/seas/13/3/13_461/_article
– https://digital.library.tu.ac.th/tu_dc/frontend/Info/item/dc:112127
– https://www.doe.go.th/prd/assets/upload/files/overseas_th/a8b6cd9a534786a53ba2e0eb1c
2a3bbd.pdf
– https://www.doe.go.th/prd/assets/upload/files/overseas_th/e1927eed4e9ef5287be11337c3
1f5c36.pdf
ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่
https://linktr.ee/isan.insight
#ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #ย้ายถิ่น #แรงงานย้ายถิ่น

