จากวิกฤตเด็กเกิดต่ำ สู่นักเรียนน้อยลง🏫 พ่อแม่มีฐานะส่งลูกเรียนอินเตอร์ ดัน ร.ร.เอกชน โตพุ่ง📈 ในขณะ ร.ร.รัฐหลายแห่งปิดตัว🚸ผลวิจัยเผย เด็กไทย 15-24 ปี 1.4 ล้านคน ไม่เรียนต่อ

จากวิกฤตเด็กเกิดต่ำ สู่นักเรียนน้อยลง🏫 พ่อแม่มีฐานะส่งลูกเรียนอินเตอร์ ดัน ร.ร.เอกชน โตพุ่ง📈 ในขณะ ร.ร.รัฐหลายแห่งปิดตัว🚸ผลวิจัยเผย เด็กไทย 15-24 ปี 1.4 ล้านคน ไม่เรียนต่อ จบมาไม่มีงาน ค่าเล่าเรียนแพง
.

เอกชน โตสวน สังคมสูงวัยที่เด็กเกิดต่ำ

ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย ชี้ให้เห็นว่า จำนวนโรงเรียนที่ใช้หลักสูตรไทย มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เนื่องจากจำนวนนักเรียนไทยที่ลดลง ทำให้ระหว่างปีการศึกษา 2555-2567 เกิดการทยอยปิดตัวของโรงเรียนรัฐบาล และโรงเรียนเอกชนหลักสูตรไทย ไปมากกว่า 2,000 แห่ง จากโรงเรียนประมาณ 35,000 แห่ง เหลือ 33,000 แห่ง

ในทางกลับกัน โรงเรียนนานาชาติกลับเติบโตอย่างต่อเนื่อง เฉลี่ยร้อยละ 5 ต่อปี จาก 138 แห่งเป็น 249 แห่ง เฉพาะปีการศึกษา 2567 ปีเดียว จำนวนโรงเรียนนานาชาติเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 10 สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของกิจการโรงเรียน สู่หลักสูตรต่างประเทศมากขึ้น

ในปีการศึกษา 2567 นักเรียนไทยในโรงเรียนไทยอยู่ที่ 8.8 ล้านคน ลดลงจากปีก่อนหน้าที่ 8.9 ล้านคน แต่นักเรียนไทยในโรงเรียนนานาชาติ เพิ่มขึ้นจาก 70,000 คน เป็น 77,000 คน งานวิจัยยังชี้ให้เห็นว่า นอกจากในกรุงเทพฯโรงเรียนนานาชาติมีแนวโน้มขยายตัวออกสู่หัวเมืองต่างจังหวัดมากขึ้น

ประมาณการว่าในปี 2567 มูลค่าตลาดโรงเรียนนานาชาติในไทยอยู่ที่ 87,000 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีก่อนหน้าถึงร้อยละ 13 และยังมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยยังมีโรงเรียนที่อยู่ระหว่างการขออนุญาตเปิดเพิ่มเติมอีกจำนวนมาก

รายงานการสำรวจของ Deloitte ดังกล่าว ได้สำรวจความคิดเห็นคนรุ่นใหม่ทั่วโลกกว่า 23,500 คน ใน 44 ประเทศ🌏 ซึ่งรวมถึงกลุ่มตัวอย่างคนไทย 330 คน🇹🇭 (แบ่งเป็น Gen Z 209 คน และ Gen Y 121 คน) พบข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับมุมมองต่อการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา หรือที่เฉพาะเจาะจงว่าเป็น บัณฑิตศึกษา (Post-Bachelor’s Degree) ในหลากหลายมิติ เริ่มจากแง่มุมของการเลือกเรียนต่อ-ไม่เรียนต่อระดับปริญญา พบว่าเริ่มมีบางส่วนที่ขอไม่เรียนต่อดีกว่า?!

🇹🇭แม้ว่าโดยภาพรวมแล้ว คนไทยทั้ง Gen Z และ Gen Y จะให้ความสำคัญกับการเรียนต่อในระดับที่สูงกว่าปริญญาตรีมากกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังมีชาว Gen Z ในประเทศไทยถึง 16% และ Gen Y 17% ที่ระบุว่าพวกเขา “ตัดสินใจไม่เรียนต่อในระดับอุดมศึกษา” อย่างไรก็ตาม ถือต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 31% สำหรับ Gen Z และ 32% สำหรับ Gen Y

 

เด็กไทยเริ่มกังวลระบบการเรียนไม่สอดคล้องกับตลาดงาน-ค่าเล่าเรียนแพง

🧐ผลการสำรวจพบว่ามี 3 ปัจจัยสำคัญ (Trifactor) ซึ่งส่งผลต่อความสุขในการทำงานของคนรุ่นใหม่ทั่วโลก ประกอบด้วย 1.รายได้ (Money) 2.ความหมายของงาน (Meaning) 3.ความอยู่ดีมีสุข (Wellbeing)
ทั้งนี้เมื่อนำมาจัดอันดับแล้ว พบว่า “การเงิน” มีความสัมพันธ์กับความสุขมากที่สุด ตามมาด้วยความอยู่ดีมีสุขและความหมายของงาน โดยเฉพาะเมื่อเจาะลึกในกลุ่มคนรุ่นใหม่ไทย พบว่า ปัจจัยด้านการเงิน (Money) และ ค่าครองชีพ (Cost of Living) ยังคงเป็นประเด็นที่สร้างความกังวลอย่างต่อเนื่อง และเป็นอันดับ 1 สำหรับทั้ง Gen Z และ Gen Y ในไทยมาตลอด 3 ปีที่ผ่านมา โดยความกังวล 3 อันดับแรกของคนรุ่นใหม่ไทยคือ ค่าครองชีพ, ภาวะเศรษฐกิจที่ไม่น่าไว้วางใจ, ความปลอดภัยทางไซเบอร์

Gen Y Gen Z ไทย มอง AI เป็นทั้งผู้ช่วย-คู่แข่ง พร้อมปรับตัวสู่ทักษะใหม่

ตามรายงานระบุด้วยว่า เทรนด์ AI เข้ามาสู่โลกการทำงานในไทยแล้ว และกลายเป็นเครื่องมือประจำวันของคนทำงานรุ่นใหม่ โดย AI ไม่ได้แค่เปลี่ยนวิธีทำงานของคนรุ่นใหม่ไทย แต่ยังเปลี่ยนวิธีมองอนาคตด้วย ข้อมูลล่าสุดเผยว่า คนไทยรุ่น Gen Y และ Gen Z มากถึง 80-90% ใช้ AI เป็นส่วนหนึ่งของการทำงานประจำวัน โดยเฉพาะในการวิเคราะห์ข้อมูล งานออกแบบ และการสร้างสรรค์คอนเทนต์

แม้หลายคนจะมองว่า AI ช่วยให้ชีวิตการทำงานง่ายขึ้น ลดเวลาทำงานซ้ำซาก และมีเวลาไปใช้ชีวิตมากขึ้น แต่ก็ยังมีความกังวลไม่น้อย โดยเฉพาะเรื่อง “งานจะหายไป” หรือ “โดนแทนที่” ข้อมูลจาก World Economic Forum คาดว่า AI และ Automation อาจเข้ามาแทนที่งานถึง 92 ล้านตำแหน่งทั่วโลกภายในปี 2030 แม้จะสร้างงานใหม่ได้มากถึง 170 ล้านตำแหน่งก็ตาม

ดังนั้น ทั้งพนักงานและองค์กรต้องเร่งปรับตัว โดยฝั่งพนักงานต้องเรียนรู้การทำงานร่วมกับ AI ให้เร็วที่สุด และพัฒนา Soft Skills ที่ยังไม่สามารถถูกแทนที่ได้ เช่น การสื่อสาร, การทำงานร่วมกับคน, และการตัดสินใจในสถานการณ์ไม่แน่นอน ส่วนทางฝั่งองค์กรเองก็ต้องหาวิธีใช้ AI ให้เพิ่มประสิทธิภาพโดยไม่ทำให้คนรู้สึกว่าตัวเอง “หมดคุณค่า” หรือ “กำลังจะถูกแทนที่”

เศรษฐกิจสังคมมีผลต่อการตัดสินใจเรียน หลายคนไม่อยากกู้ยืมเรียน หวั่นเรียนจบไม่มีงานทำ

ผลวิจัยโดย Deloitte พบว่าในกลุ่มคนรุ่นใหม่ Gen Y และ Gen Z ในไทย มีสัดส่วนประมาณ 16-17% ที่เลือกไม่เรียนต่อปริญญาตรี เนื่องจากกังวลเรื่องระบบหนี้กู้ยืมการศึกษาและค่าใช้จ่ายที่สูง โดย 44% ของ Gen Z และ Gen Y กังวลเรื่องค่าเล่าเรียนแพง ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญในการเข้าถึงการศึกษาระดับสูง
นอกจากนี้ยังมีความกังวลด้านคุณภาพการศึกษาและความไม่สอดคล้องของเนื้อหาหลักสูตรกับตลาดงาน

ยูนิเซฟ-กระทรวงแรงงาน-จุฬาฯ ร่วมทำงานวิจัยเชิงลึกเกี่ยวกับเยาวชนที่ไม่ได้อยู่ในการทำงาน การศึกษา หรือการฝึกอบรม หรือ NEET

ยูนิเซฟ-กระทรวงแรงงาน-จุฬาฯ ร่วมทำงานวิจัยเชิงลึกเกี่ยวกับเยาวชนที่ไม่ได้อยู่ในการทำงาน การศึกษา หรือการฝึกอบรม หรือ NEET

งานวิจัยร่วมของยูนิเซฟ ประเทศไทย กระทรวงแรงงาน และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่าเยาวชนไทยอายุ 15-24 ปี กว่า 1.4 ล้านคน อยู่ในกลุ่ม NEET (ไม่เรียน ไม่ทำงาน ไม่ฝึกอบรม) สาเหตุหลักคือระบบการศึกษาที่ยังทำให้เด็กมองไม่เห็นอนาคตและความยากจนที่ทำให้เด็กขาดโอกาสเรียนต่อ รวมถึงปัจจัยทางเพศและสังคมที่ส่งผลต่อโอกาสทางการศึกษาและการทำงาน

ดังนั้น ปัญหาที่เด็กไทยไม่เรียนปริญญาตรีและ 44% ไม่มีเงินเรียน มีที่มาจากความกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายสูง หนี้กู้ยืมการศึกษา และปัจจัยทางเศรษฐกิจ-สังคมที่ซับซ้อน ซึ่งได้รับการศึกษาจาก Deloitte และงานวิจัยของยูนิเซฟ-กระทรวงแรงงาน-จุฬาฯ
.
#ISANInsightandOutlook #สังคมสูงวัย #โรงเรียนเอกชน #โรงเรียนนานาชาติ #โรงเรียนรัฐ

ที่มา:

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Scroll to Top