“แพทองธาร” นายกรัฐมนตรี เยือนประเทศลาว หารือกับนายกรัฐมนตรีลาว ยก 5 ประเด็นสำคัญไทย-ลาวร่วมแก้ปมแก๊งคอลเซนเตอร์-การจัดการน้ำโขง ยาเสพติด หมอกควันข้ามแดนและค้ามนุษย์ ร่วมลง MOU 6 ฉบับ
วันนี้ (8 ต.ค.2567) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ และนายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เดินทางเยือนประเทศลาวอย่างเป็นทางการ และร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 44 และ 45 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง พร้อมหารือกับนายสอนไซ สีพันดอน นายกรัฐมนตรีลาว
ภายหลังเสร็จสิ้นนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญว่า น.ส.แพทองธาร และนายสอนไซ หารือแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ และปัญหาข้ามแดนที่สำคัญ 5 ประเด็นคือยาเสพติด Online Scams การค้ามนุษย์ หมอกควันข้ามแดน และการบริหารจัดการน้ำในแม่น้ำโขง
สำหรับปัญหายาเสพติด หน่วยงานไทย และลาว ได้ร่วมกันจัดทำกรอบแนวทางเชิงรุกในการแก้ไขปัญหาตามชายแดน ซึ่งเป็นผลจากการหารือทางโทรศัพท์ระหว่างอดีตนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน กับนายกรัฐมนตรีนายสอนไซ ซึ่งนายกรัฐมนตรีไทย เสนอจัดการประชุมระหว่างผู้ว่าราชการจังหวัดกับเจ้าแขวงชายแดน และหน่วยงานในพื้นที่ชายแดนของทั้งสองประเทศในต้นปี 2568 เพื่อติดตามและขับเคลื่อนการดำเนินการตามกรอบแนวทางดังกล่าว
ไทย-ลาว MOU 6 ฉบับ
นอกจากนี้ ไทยและประเทศลาว จะเพิ่มพูนความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและความเชื่อมโยงระหว่างกัน โดยเฉพาะการค้าการลงทุนการท่องเที่ยว ภายใต้แผนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ไทย-ลาว ระยะ 3 ปี (ค.ศ.2022-2025)
ความร่วมมือด้านแรงงาน ยืนยันไทยต้องการให้แรงงานต่างชาติทุกคนได้เข้าถึงสิทธิ และบริการต่าง ๆ ในระหว่างที่ทำงานในไทย ขอให้ไทยและลาว ร่วมกันส่งเสริมให้แรงงานลาวเข้ามาทำงานในไทย
สะพานน้ำโขงเชียงแมน-หลวงพระบาง
จากนั้นผู้นำทั้ง 2 ประเทศร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามความตกลงระหว่างไทย-ลาว จำนวน 6 ฉบับ และการส่งมอบผลการศึกษา และรายละเอียดการออกแบบโครงการก่อสร้างสะพานข้ามน้ำโขงเชียงแมน-หลวงพระบาง ดังนี้ 1. บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือ ด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการ 2.บันทึกความเข้าใจ ว่าด้วยการสถาปนาความสัมพันธ์เมืองมิตรภาพ จ.ขอนแก่น กับนครหลวงเวียงจันทน์
3.บันทึกความเข้าใจด้านความร่วมมือในการบริหารทรัพยากรบุคคล 4. บันทึกความเข้าใจ ระหว่างกรมการค้าภายใน กับ กรมมาตรฐานและวัดแทก 5. บันทึกการดำเนินการด้านเทคนิคสำหรับการขนส่งสินค้าทางรถไฟ และ 6.หนังสือแสดงเจตจำนง ระหว่างกรมทางหลวง และกรมขัวทาง
ที่มา: สำนักข่าว ThaiPBS
หนุนไทยสู่ฮับอาเซียน ไทย-ลาว เซ็นร่วมมือขนส่งสินค้าทางรางแบบไร้รอยต่อ คาดเพิ่มมูลค่ากว่า 26 ลบ.ต่อปี
นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ นายสอนไซ สีพันดอน นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เป็นประธานในพิธีลงนาม “บันทึกการดำเนินการด้านเทคนิคสำหรับการขนส่งสินค้าทางรถไฟ” ระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม และรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งชาติลาว สปป.ลาว โดยมี นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย และ นายดาวจินดา สีหาราด ผู้ว่าการรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งชาติลาว ร่วมลงนามฯ
นายวีริศ เปิดเผยว่า รัฐบาลให้ความสำคัญในการพัฒนาระบบราง ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งหลักของประเทศ จึงมอบหมายให้ รฟท. เร่งดำเนินการผลักดันและพัฒนาการขนส่งทางราง โดยเฉพาะการขนส่งสินค้าระหว่างไทย -ลาว – จีน ซึ่งเป็นเส้นทางที่สามารถเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมทางรางให้เกิดการเจริญเติบโตสู่ภูมิภาค ส่งเสริมและกระตุ้นเศรษฐกิจ สอดรับกับแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศ
การลงนามในครั้งนี้ เพื่ออำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าทางรถไฟและการให้บริการขนส่งสินค้าระหว่างไทย – สปป.ลาว อาทิ เส้นทางขนส่ง จุดเข้า – ออกประเทศ การจัดขบวนรถและตารางเดินรถ กฎข้อบังคับและเอกสารการขนส่งสินค้า กฎข้อบังคับการเดินรถ การให้ความช่วยเหลือในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ การชำระบัญชี ซึ่งจะสามารถขนส่งสินค้าร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ปัจจุบันการขนส่งสินค้าจากประเทศไทย ไปยัง สปป.ลาว และ จีน มีหลากหลายชนิด อาทิ ข้าวมอลต์ ปุ๋ย อะไหล่รถยนต์ สินค้าอีคอมเมิร์ช สินค้าอุปโภคบริโภค และผลไม้ เฉลี่ยวันละ 4 – 6 ขบวน ไป/กลับ โดยเฉพาะสินค้าเกษตร (ทุเรียน) และสินค้าที่มาจากแหลมฉบัง ผ่านสถานีนาทาฝั่งประเทศไทย ไปยังสถานีขนถ่ายสินค้าท่านาแล้ง สปป.ลาว เพื่อกระจายสินค้าไปยัง สปป. ลาว และสาธารณรัฐประชาชนจีน ก่อให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้น โดยในช่วงปี 2566 มีรายได้จากการขนส่งสินค้าระหว่างไทย – สปป.ลาว จำนวน 11,361,000 บาท และช่วงเดือนตุลาคม 2566 – สิงหาคม 2667 มีรายได้เพิ่มขึ้น จำนวน 26,749,500 บาท อย่างไรก็ตาม คาดว่าในปี 2568 จะมีรายได้เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 30 ล้านบาท
“เชื่อมั่นว่า การลงนามในบันทึกความร่วมมือครั้งนี้ จะเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่จะช่วยขยายโครงข่ายคมนาคมทางราง ยกระดับการขนส่งสินค้าทางรางทั้งสองประเทศ ก่อให้เกิดการเจริญเติบโตทางการค้าระหว่างประเทศที่สำคัญ ทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางรางในภูมิภาคอาเซียนได้ตามนโยบายของรัฐบาล” นายวีริศ กล่าว
ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (09 ต.ค. 67)
ขอนแก่น-เวียงจันทน์ ลงนามความร่วมมือ สถาปนา “เมืองมิตรภาพ”
ขอนแก่น-เวียงจันทน์ ลงนามความร่วมมือ สถาปนา “เมืองมิตรภาพ” เร่งกำหนดกิจกรรมร่วมกันทุกด้าน เน้นหนักการค้า การลงทุน การศึกษาและวัฒนธรรม
เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 8 ต.ค.2567 ที่ห้องการปกครองนครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว นายไกรสร กองฉลาด ผวจ.ขอนแก่น พร้อมด้วย นายเข็มชาติ สมใจวงษ์ ประธานกิตติมศักดิ์หอการค้าขอนแก่น ,นายทวีสันต์ วิชัยวงษ์ ประธานสภาอุตสาหกรม จ.ขอนแก่น ,นายชาติชาย โฆษะวิสุทธิ์ นายกสมาคมส่งเสริมสุขภาพไทย,นายภพพล เกษมสันต์ ณ อยุธยา ประธานสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวขอนแก่น, ผศ.ดร.ศิริศักดิ์ เหล่าจันขาม คณบดีวิทยาลัยการปกครองท้องถิ่น มหาวิทยาลัยขอนแก่น และนายสุเมธ กองพัฒนากูล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซี เค ชูส์ (ประเทศไทย) และ ซี เค แอล สปป.ลาว เข้าร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจเพื่อการสถาปนาความสัมพันธ์เมืองมิตรภาพ ระหว่าง จ.ขอนแก่น ราชอาณาจักรไทย กับ นครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว กับ นายอาดสะพังทอง สีพันดอน เจ้าครองนครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว โดยมีหัวหน้าส่วนราชการและผู้นำองค์กรที่เกี่ยวข้องจากทั้ง 2 ประเทศ ร่วมเป็นสักขีพยานอย่างพร้อมเพรียง
นายไกรสร กองฉลาด ผวจ.ขอนแก่นกล่าวว่า เป็นความร่วมมือครั้งสำคัญของจังหวัดที่บรรลุข้อตกลงกับนครหลวงที่เป็นเมืองหลวงของประเทศ ซึ่งขอนแก่น เป็นจังหวัดที่ สปป.ลาว ได้ให้ความสำคัญและทำการจัดตั้งสถานกงสุลใหญ่ฯ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเชื่อมโยงในด้านต่างๆตามมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะด้านการแพทย์ การค้า การลงทุน การศึกษาและวัฒนธรรม ทำให้ปัจจุบันขอนแก่น มีสถานกงสุลใหญ่จากนานาประเทศมาจัดตั้งและประสานความร่วมมือระหว่างประเทศหลายแห่ง ซึ่งจากนี้ไปแผนการขับเคลื่อนตามกรอบความร่วมมือดังกล่าวจะต้องทำทันที ครอบคุมทุกด้าน เพื่อส่งเสริมความมั่งคั่งและการพัฒนาร่วมกันบนพื้นฐานของความเท่าเทียมและผลประโยชน์ร่วมกัน ภายใต้อำนาจหน้าที่ของตน และตามกฎหมาย กฎระเบียบที่มีผลใช้บังคับในแต่ละประเทศ
“เราจะประสานความร่วมมือร่วมกัน เน้นหนักด้านการค้าการลงทุน อุตสาหกรรม การศึกษา วัฒนธรรมและการท่องเที่ยว การเกษตร แรงงานและสวัสดิการการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ เทคโนโลยีและการขนส่ง การบริหารจัดการเมือง และสาธารณสุขที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและพันธกรณีระหว่างประเทศของทั้ง 2 ฝ่ายซึ่งจะมีการมอบหมายการดำเนินงานของแต่ละคณะทำงานให้มีการประสานงานโดยตรงเพื่อร่วมมือกันและกำหนดแผนงานความร่วมมือตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด และจะมีการติดตามความคืบหน้ารวมทั้งการประเมินผลการดำเนินงานร่วมกันเพื่อให้แผนงานดังกล่าวมีความก้าวหน้า เกิดผลเป็นรูปธรม และเป็นประโยชน์ต่อทั้ง 2 ฝ่ายอย่างจริงจัง”
ขณะที่นายเข็มชาติ สมใจวงษ์ ประธานกิตติมศักดิ์หอการค้า จ.ขอนแก่น กล่าวว่า ความร่วมมือที่เกิดขึ้นจะเป็นกลไกการขับเคลื่อนเชื่อมโยงร่วมระหว่างประเทศและร่วมระหว่าง 2 ฝ่ายอย่างจริงจัง ต่อเนื่องและเข้มแข็งต่อไป ที่ผ่านมาทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้นำเสนอ และสนับสนุนและผลักดันให้เกิดความเป็นเมืองมิตรภาพ ซึ่งขอนแก่น ถือเป็นเมืองแห่งศูนย์กลางของภุมิภาคภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่มีความพร้อมในด้านต่างๆอย่างลงตัว ขณะที่นครหลวงเวียงจันทน์ เมืองหลวง ของ สปป.ลาว ที่มีการเชื่อมโยงและประสานความร่วมมือกับจังหวัดมาอย่างยาวนาน วันนี้ถือเป็นการตกลงปลงใจและลงนามความร่วมมือโดยมีสักขีพยานและคณะทำงานที่เข้มแข็งเพื่อสนับสนุนและผลักดันด้านต่างๆต่อไป ซึ่งขณะนี้ภาคการศึกษาโดยวิทยาลัยการปกครองท้องถิ่น ม.ขอนแก่น ได้กำหนดแผนเชื่อมโยงด้านการศึกษา เนื่องจากนักศึกษาลาว ที่มาเรียนที่ ม.ขอนแก่น มีจำนวนมาก ขณะที่การค้า และการลงทุน ภาคธุรกิจเอกชนขอนแก่น ได้เข้าไปลงทุนและดำเนินกิจกรรมต่างๆกับนครหลวงเวียงจันทน์และ ด้านการแพทย์ ซึ่งมีการแลกเปลี่ยนทั้งในส่วนของบุคลากรทางการแพทย์รวมทั้งการรักษาแบบเชื่อมโยงตามระเบียบและอำนาจหน้าที่ของแต่ละหน่วยงานต่อจากนี้ไป
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ภายหลังจากการลงนามความร่วมือดังกล่าวเสร็จสิ้น คณะ ผวจ.ขอนแก่น และ เจ้าครองนครหลวงเวียงจันทน์ ได้เข้าร่วมพิธีมอบบันทึกและเอกสารที่เกี่ยวข้อง ที่สำนักนายกรัฐมนตรีแห่ง สปป.ลาว โดยมี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แห่งราชอาณาจักรไทย และ นายสอนไซ สีพันดอน นายกรัฐมนตรี แห่ง สปป.ลาว และ คณะรัฐมนตรีของทั้ง 2 ประเทศ ร่วมเป็นสักขีพยาน ตามกำหนดการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 44 และ 45 ที่นครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว