อุบลราชธานี เมืองแห่งปราชญ์-ปรัชญา-ภูมิปัญญาริมฝั่งโขง
จังหวัดอุบลราชธานี หนึ่งใน จังหวัดที่ถูกเรียกว่า Big 4 ของอีสาน และ หนึ่งในเมืองรองของการท่องเที่ยวที่สำคัญของภาคอีสานซึ่งในตอนนี้เป็นจังหวัดที่ทำรายได้จากธุรกิจสร้างสรรค์สูงสุดทะลุ 6 พันล้านขึ้นแซง โคราช ขอนแก่น
อะไรทำให้เมืองชายแดนที่ดูเหมือนจะอยู่นอกสายตาอย่าง “อุบลราชธานี” กลายมาเป็นจังหวัดที่สร้างรายได้จากธุรกิจสร้างสรรค์ได้สูงที่สุดในภาคอีสาน? ทำไมเมืองที่ไม่ได้อยู่กลางแผนที่เศรษฐกิจอย่างกลุ่ม Big 4 ถึงสามารถแซงหน้าเมืองใหญ่อย่างขอนแก่นและโคราชได้ในมิติของเศรษฐกิจสร้างสรรค์?
อีสานอินไซต์สิพามาเบิ่ง
.
1.อุบลหนึ่งในเมืองรองที่สำคัญของภาคอีสาน
ด้วยความที่เป็นเมืองแห่งการท่องเที่ยวในภาคอีสานไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ หรือ การท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ถึงแม้อุบลจะเป็นจังหวัดที่อยู่ติดกับชายแดนแต่ก็ยังมีผู้เยี่ยมเยือนผ่านเข้าออกอยู่เป็นประจำในแต่ละปี ซึ่งมีจำนวนผู้เยี่ยมเยือนในปี 2567 อยู่ที่ 3,763,066 คน ซึ่งถือว่าสูงเป็นอันดับ 5 ของภาคอีสาน สามารถทำรายไดไปปมากถึง 9126.57 ล้านบาท ถือว่าสูงเป็นอันดับ 6 ของภาคอีสานในด้านรายได้จากการท่องเที่ยว และมีอีกสิ่งที่น่าตกใจอย่างมากในปีนี้ก็คือ เป็นจังหวัดที่ทำรายได้จากธุรกิจสร้างสรรค์สูงสุดทะลุ 6 พันล้าน โดยภาคอีสานสามารถสร้างรายได้รวมกว่า 38,778 ล้านบาท เฉพาะงานอีสานสร้างสรรค์ปี 67 ก็สร้างมูลค่ากว่า 6 ร้อยล้านบาท
แม้จะไม่ได้อยู่ในสถานะเมืองศูนย์กลางเศรษฐกิจอย่าง “กลุ่ม Big 4 ของอีสาน” ที่ประกอบด้วย นครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี และอุบลราชธานี แต่ในช่วงหลัง อุบลฯ กลับเป็นจังหวัดเดียวในกลุ่มนี้ที่ “แซงหน้า” เมืองใหญ่ในมิติของธุรกิจสร้างสรรค์ได้อย่างชัดเจน โดยในปี 2567 อุบลราชธานีสร้างรายได้จากเศรษฐกิจสร้างสรรค์ได้สูงสุดของภาคอีสาน มูลค่ากว่า 6,400 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าขอนแก่นและโคราชที่เคยเป็นผู้นำในด้านนี้ นี่ไม่ใช่เพียงตัวเลขที่น่าประทับใจ แต่สะท้อนปรากฏการณ์ใหม่ของเมืองชายแดนที่สามารถเติบโตจาก “ทุนวัฒนธรรม” อย่างยั่งยืนหัวใจของความสำเร็จอยู่ที่การรู้จักใช้สิ่งที่มีอยู่แล้วในพื้นที่ให้เกิดมูลค่าอย่างมีกลยุทธ์ อุบลราชธานีไม่ได้เริ่มต้นจากความว่างเปล่า แต่มีภูมิปัญญาท้องถิ่นจำนวนมากที่รอการต่อยอด ไม่ว่าจะเป็นงานเทียนพรรษา ผ้าทอ เครื่องจักสาน ผ้าย้อมคราม หัตถกรรมพื้นบ้าน ไปจนถึงศิลปะการแสดงแบบอีสาน ทั้งหมดนี้ไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ของอัตลักษณ์วัฒนธรรมท้องถิ่น แต่ยังกลายเป็นวัตถุดิบสำหรับการผลิตสินค้า บริการ และประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ตลาดร่วมสมัย
สิ่งที่ทำให้อุบลฯ เดินได้เร็วกว่าเมืองอื่น คือการมีคนรุ่นใหม่ที่กล้าคิด และกล้าลงมือสร้างธุรกิจจากวัฒนธรรมดั้งเดิม นักออกแบบรุ่นใหม่ ศิลปินพื้นถิ่น และผู้ประกอบการจากมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีและวิทยาลัยในพื้นที่ต่างผนึกกำลังกันสร้างแบรนด์ที่มีตัวตนชัดเจน เช่น แบรนด์เสื้อผ้าที่นำผ้าทอมาดีไซน์ร่วมสมัย คาเฟ่และโฮมสเตย์ที่ใช้แนวคิดภูมิสถาปัตย์ ในขณะเดียวกัน ภาครัฐก็ไม่ได้ยืนดูเฉย ๆ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) ได้ร่วมมือกับจังหวัดและองค์กรภาคีต่าง ๆ สร้างโครงการอย่าง “Ubon Creative City Fair”, “ตลาดนัดคนสร้างสรรค์”, และเทศกาล “Isan Creative Festival” ซึ่งมีนักสร้างสรรค์เข้าร่วมกว่า 900 ราย สร้างรายได้หมุนเวียนกว่า 500 ล้านบาทในงานเดียว ทั้งยังเปิดพื้นที่ให้กับคนรุ่นใหม่ได้ทดลองสินค้า เชื่อมโยงกับนักลงทุน และขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ
อีกจุดแข็งสำคัญคือ ที่ตั้งของอุบลฯ ซึ่งเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านทั้งลาวและกัมพูชา ได้กลายเป็นฐานการค้าเชิงวัฒนธรรมในระดับลุ่มน้ำโขงอย่างเต็มรูปแบบ กิจกรรมความร่วมมืออย่างนิทรรศการศิลปะ GMS, โครงการนักออกแบบข้ามพรมแดน, และ MICE Expo ที่เชิญผู้ซื้อจากจีน มาเลเซีย ญี่ปุ่น และฝรั่งเศส ล้วนช่วยผลักดันสินค้าจากอุบลฯ เข้าสู่ตลาดอาเซียนอย่างจริงจัง
เมื่อรวมพลังของทุนวัฒนธรรม คนรุ่นใหม่ โครงสร้างสนับสนุน และการเชื่อมต่อระดับภูมิภาคเข้าด้วยกัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่อุบลราชธานีจะสามารถแซงจังหวัดใหญ่ในภาคอีสานได้ในมิติของธุรกิจสร้างสรรค์ และกลายเป็นต้นแบบของเมืองที่เปลี่ยนของเก่าให้เป็นมูลค่าใหม่ในโลกที่กำลังเคลื่อนไปด้วยความคิดสร้างสรรค์
.
2.เทียนพรรษาของจังหวัดอุบล
เมื่อพูดถึงงานบุญเข้าพรรษาในภาคอีสาน ภาพขบวนเรือเทียนพรรษา จังหวัดอุบลราชธานีเป็นหนึ่งในจังหวัดที่หลายคนนึกถึงเป็นอันดับแรก เทศกาลที่เต็มไปด้วยความศรัทธา สีสัน และศิลปะอันวิจิตรนี้มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่าศตวรรษ และไม่เพียงแต่เป็นประเพณีศาสนาเท่านั้น หากยังเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ ชาวอุบลฯ ร่วมกันสืบสาน ถ่ายทอด และต่อยอดให้มีชีวิตชีวาจนถึงปัจจุบัน
ในอดีต ประเพณีถวายเทียนมีจุดเริ่มต้นจากความเชื่อทางพระพุทธศาสนาเกี่ยวกับการจุดเทียนให้แสงสว่างในช่วงพรรษา ซึ่งตรงกับฤดูฝนที่พระสงฆ์จะต้องอยู่ประจำวัดซึ่งในสมัยก่อนยังไม่มีไฟฟ้าใช้ ชาวบ้านจึงร่วมกันหล่อเทียนขนาดใหญ่และนำไปถวายพระภิกษุสงฆ์จุดให้แสงสว่างในการปฏิบัติกิจวัตรต่างๆ และเพื่อเป็นพุทธบูชา และ เมื่อประเพณีนี้ได้รับการสืบทอดต่อเนื่องในแต่ละปี ก็เริ่มเกิดการพัฒนาในรูปแบบของการแห่เทียน โดยใช้รถลากหรือแคร่ไม้ตกแต่งอย่างสวยงาม จนกลายเป็นขบวนที่โดดเด่นด้วยงานฝีมือท้องถิ่นและองค์ประกอบทางศิลปะ
ขบวนเรือเทียนของแต่ละคุ้มวัดเริ่มมีความอลังการและวิจิตรขึ้นตามลำดับ โดยมีการแกะสลักเทียนอย่างละเอียดประณีต บ้างนำเสนอเรื่องราวจากพุทธประวัติ บ้างเล่าขานตำนานพื้นบ้าน บ้างสร้างสรรค์รูปแบบใหม่ที่ผสมผสานความเป็นไทยกับสากลได้อย่างลงตัว สิ่งเหล่านี้เกิดจากการรวมพลังของศิลปินพื้นบ้าน ช่างแกะเทียน เยาวชนในชุมชน และผู้นำท้องถิ่นที่เห็นคุณค่าในรากวัฒนธรรมของตนเอง
นอกจากจะเป็นกิจกรรมทางศาสนาแล้ว ขบวนเรือเทียนยังกลายเป็นเวทีสร้างความภาคภูมิใจให้ชุมชน เป็นพื้นที่ในการแสดงฝีมือและอัตลักษณ์ของแต่ละคุ้ม เป็นโอกาสในการรวมตัวของผู้คนข้ามรุ่น เพื่อเรียนรู้และสืบทอดเทคนิคการหล่อและแกะสลักเทียนอย่างประณีต ซึ่งต้องอาศัยความอดทน ความละเอียด และความร่วมมืออย่างสูง
สิ่งที่ทำให้ประเพณีเรือเทียนมีความสำคัญมากไปกว่างานบุญ คือบทบาทที่มันมีต่อเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และการศึกษา เทศกาลนี้สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติให้หลั่งไหลมาที่อุบลราชธานีในช่วงเข้าพรรษาของทุกปี ก่อให้เกิดรายได้จำนวนมากหมุนเวียนในระบบ ทั้งในด้านการท่องเที่ยว อาหาร ของที่ระลึก และการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับเทศกาล ขณะเดียวกันก็ช่วยสร้างงาน สร้างรายได้ให้ช่างฝีมือ ศิลปินท้องถิ่น และผู้ประกอบการในพื้นที่โดยตรง
ในอีกมิติหนึ่ง การเตรียมการสร้างเรือเทียนก็เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ทรงคุณค่า เป็นห้องเรียนกลางชุมชนที่คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้ทักษะทางศิลปะ งานช่าง การทำงานเป็นทีม และการเข้าใจรากวัฒนธรรมของตัวเองอย่างลึกซึ้ง เราอาจกล่าวได้ว่า เรือเทียนไม่ใช่แค่พิธีกรรมทางศาสนา แต่เป็นเครื่องมือพัฒนาทุนมนุษย์ที่ทรงพลังในแบบฉบับของท้องถิ่นอีสาน
จากงานบุญที่เกิดขึ้นในวัด วันนี้ขบวนเรือเทียนได้กลายเป็นหัวใจของเมือง กลายเป็นสัญลักษณ์ของอุบลราชธานีที่ทั้งประเทศรู้จักและเฝ้ารอ และกำลังพัฒนาไปไกลกว่านั้น—เข้าสู่บทบาทของนวัตกรรมทางวัฒนธรรม ที่จะถูกนำเสนอในตอนถัดไปว่า ‘เทียน’ ไม่ได้หยุดอยู่แค่พิธีกรรม แต่ยังกลายเป็นวัตถุดิบของความคิดสร้างสรรค์ในระดับภูมิภาคและระดับโลก
.
.
3.จากงานบุญสู่แบรนด์เมือง: การรีแบรนด์เทียนพรรษาในยุคใหม่
เมื่อมองย้อนกลับไปที่ขบวนเรือเทียนพรรษาในจังหวัดอุบลราชธานี เราจะเห็นภาพของประเพณีอันลึกซึ้งและงดงามซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตและความเชื่อของชาวอุบลมาอย่างยาวนาน แต่ในยุคปัจจุบัน เทียนพรรษาไม่ได้ถูกจำกัดอยู่เพียงแค่กิจกรรมทางศาสนาอีกต่อไป แต่ว่ามันได้รับการ “รีแบรนด์” หรือแปลงโฉมให้กลายเป็น “แบรนด์เมือง” ที่มีพลังทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมในวงกว้างมากขึ้น
การรีแบรนด์เทียนพรรษาในที่นี้หมายถึงกระบวนการนำเสนอวัฒนธรรมเดิมในรูปแบบใหม่ที่เข้ากับยุคสมัย โดยคนรุ่นใหม่ที่เติบโตมาในยุคดิจิทัลและโลกาภิวัตน์ ใช้ความคิดสร้างสรรค์และเครื่องมือทางการตลาดสมัยใหม่ ผสมผสานกับภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อส่งต่อคุณค่าและเรื่องราวของงานบุญนี้ให้เข้าถึงผู้คนได้หลากหลายและกว้างขวางขึ้น
ตัวอย่างเช่น การนำรูปแบบการแกะสลักเทียนที่ละเอียดอ่อนมาปรับให้เข้ากับดีไซน์ร่วมสมัย เพื่อสร้างสินค้าและของที่ระลึกที่สามารถจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนี้ การจัดกิจกรรมในเทศกาลเทียนพรรษายังถูกพัฒนาให้เป็นงานมหกรรมสร้างสรรค์ที่รวมศิลปิน นักออกแบบ และผู้ประกอบการจากหลากหลายสาขาเข้ามามีส่วนร่วม สร้างพื้นที่ให้เกิดการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม การทดลองแนวคิดใหม่ ๆ และการเชื่อมโยงกับตลาดในระดับภูมิภาคและระดับโลก
ความสำเร็จในการรีแบรนด์เทียนพรรษานี้สะท้อนให้เห็นว่าการอนุรักษ์วัฒนธรรมไม่จำเป็นต้องหมายถึงการยึดติดอยู่กับรูปแบบเดิมๆ เท่านั้น แต่ยังหมายถึงการเปิดรับการเปลี่ยนแปลงและการปรับตัวเพื่อความยั่งยืน เมื่อวัฒนธรรมถูกนำเสนอในรูปแบบที่ทันสมัยและน่าสนใจ มันจึงกลายเป็น “ทุนวัฒนธรรม” ที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจ ช่วยเสริมสร้างรายได้และสร้างโอกาสในการพัฒนาชุมชนอย่างแท้จริง
ทั้งนี้ การทำให้วัฒนธรรมท้องถิ่นกลายเป็นแบรนด์เมืองที่มีอัตลักษณ์โดดเด่น ต้องอาศัยการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน ชุมชน และคนรุ่นใหม่ ซึ่งล้วนมีบทบาทสำคัญในการผลักดันและต่อยอดให้วัฒนธรรมพื้นบ้านไม่สูญหาย แต่กลับได้รับการยกระดับและเป็นที่รู้จักในวงกว้าง
สำหรับอุบลราชธานี เทียนพรรษาคือหนึ่งในตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จในการรีแบรนด์วัฒนธรรมที่เกิดจากงานบุญ ให้กลายเป็นแบรนด์เมืองที่แข็งแกร่ง เป็นที่จดจำ และมีผลต่อภาพลักษณ์ของจังหวัดในฐานะ “เมืองแห่งภูมิปัญญาและศิลปะ” ที่ไม่เพียงแค่รักษาอดีตไว้ แต่ยังสร้างอนาคตผ่านความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมทางวัฒนธรรม
ดังนั้น เทียนพรรษาจึงไม่ใช่เพียงแค่ประเพณีท้องถิ่น แต่มันคือ “สะพาน” ที่เชื่อมระหว่างอดีตกับอนาคต เป็นเครื่องมือทางวัฒนธรรมที่ช่วยสร้างมูลค่าใหม่ให้กับชุมชนและเศรษฐกิจเมืองอย่างยั่งยืน
.
.
4.เทียนพรรษาในจังหวะใหม่ของเมือง: คน เมือง เทียน กับการสร้างแบรนด์ที่ไม่หยุดนิ่ง
การรีแบรนด์เทียนพรรษาของอุบลราชธานีไม่ได้เป็นเพียงแค่การเปลี่ยนโฉมรูปแบบงานบุญให้ดูทันสมัยขึ้นเท่านั้น หากแต่ยังเป็นการขับเคลื่อนวัฒนธรรมผ่านพลังของ “คน” และ “เมือง” อย่างแท้จริง ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดที่ถูกนำเสนออย่างโดดเด่นในแคมเปญ “Life City Candle ฅน เมือง เทียน” ที่ได้รับความสนใจจากสื่อระดับชาติอย่าง National Geographic Thailand การเล่าเรื่องเทียนพรรษาในมุมนี้ ชูภาพของงานบุญที่เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดกิจกรรมสร้างสรรค์ร่วมสมัย เป็นพื้นที่ที่เชื่อมโยงคนในชุมชน ศิลปิน และผู้สร้างสรรค์ต่าง ๆ ให้มาร่วมกันเติมเต็มและเล่าเรื่องวัฒนธรรมด้วยภาษาของคนยุคใหม่
สิ่งนี้สะท้อนว่า “เทียนพรรษา” ไม่ใช่แค่พิธีกรรมที่อยู่ในกรอบความเชื่อดั้งเดิม แต่กลายเป็นวัฒนธรรมมีชีวิตที่พร้อมเติบโต ปรับเปลี่ยน และเข้าถึงผู้คนในวงกว้างมากขึ้น ด้วยการสร้างสรรค์รูปแบบใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ทั้งการตลาดและความรู้สึกภาคภูมิใจของชุมชน
นอกจากนี้ การทดลองสร้างสรรค์อย่างจริงจังในเทศกาลเทียนปีนี้ ยังปรากฏชัดผ่านเวทีสำคัญอย่าง “อวดเมือง The Pitching 2568” ที่จังหวัดอุบลราชธานีเพิ่งได้นำเสนอโมเดลการพัฒนาที่เน้นการสร้างแบรนด์จากทุนวัฒนธรรมที่มีอยู่จริง ไม่ว่าจะเป็นการต่อยอดสินค้าออกแบบจากการแกะสลักเทียน การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่เข้าถึงชุมชนอย่างแท้จริง รวมถึงการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมาขับเคลื่อนเรื่องราวและประสบการณ์เทียนพรรษาไปสู่ตลาดระดับภูมิภาคและโลก งานนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การเสนอแผน แต่สะท้อนถึงพลังของคนรุ่นใหม่ ภาคธุรกิจ และภาครัฐที่พร้อมร่วมมือกันทำให้ “แบรนด์เมืองเทียนพรรษา” เดินหน้าอย่างเป็นรูปธรรม
จุดเด่นที่สำคัญอีกประการคือการจัดกิจกรรมที่มีชื่อว่า “คำโฮม” (Come Home Ubon) ซึ่งถูกสร้างขึ้นในเทศกาลเทียนพรรษาให้เป็น “สนามทดลอง” ที่เปิดโอกาสให้เยาวชนและคนในชุมชนได้มีพื้นที่ทำตลาดจริง ๆ ขายสินค้าและบริการที่ต่อยอดจากภูมิปัญญาท้องถิ่น บรรยากาศอบอุ่นแบบคนอุบลที่นี่จึงไม่ได้เป็นเพียงถนนคนเดินทั่วไป แต่เป็นเวทีที่ให้คนได้ทดลองบทบาทใหม่ของตัวเองในฐานะ “ผู้สร้างสรรค์” และ “ผู้ประกอบการ” ที่พึ่งพาต้นทุนทางวัฒนธรรมได้อย่างมีศักยภาพ ซึ่งช่วยปลุกพลังและต่อยอดความยั่งยืนของงานบุญดั้งเดิมให้กลายเป็นเครื่องมือพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นได้จริง
อีกหนึ่งกิจกรรมที่ช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับแบรนด์เมืองเทียนพรรษาคือ งาน Ubon Creative City Fair ที่รวบรวมศิลปิน นักออกแบบ และผู้ประกอบการจากหลากหลายสาขาเข้าร่วมงาน สร้างพื้นที่เชื่อมต่อผู้สร้างสรรค์ท้องถิ่นกับตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ บรรยากาศงานเต็มไปด้วยชีวิตชีวาและความร่วมมือ ซึ่งช่วยแสดงศักยภาพของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในอุบลฯ ที่กำลังเติบโตและสร้างรายได้อย่างยั่งยืน
ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นภาพรวมของอุบลราชธานีในฐานะ “เมืองแห่งภูมิปัญญาและศิลปะ” ที่ใช้ทุนวัฒนธรรมดั้งเดิม เช่น เทียนพรรษา เป็นแกนกลางในการพัฒนาเมืองแบบองค์รวม ที่รวมทั้งมิติทางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน ไม่เพียงแค่รักษาอดีตไว้ แต่ยังกลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ช่วยสร้างอนาคตให้เมืองเดินหน้าผ่านความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม
ด้วยเหตุนี้ เทียนพรรษาจึงไม่ใช่แค่ประเพณีท้องถิ่นประจำปีอีกต่อไป แต่มันกลายเป็น “สะพาน” ที่เชื่อมอดีตกับอนาคต เป็นเครื่องมือทางวัฒนธรรมที่สร้างมูลค่าใหม่ให้กับชุมชนและเศรษฐกิจเมืองอุบลราชธานีอย่างยั่งยืน และเป็นโมเดลต้นแบบที่เมืองอื่น ๆ สามารถเรียนรู้และต่อยอดได้ในยุคที่วัฒนธรรมและเศรษฐกิจกำลังผสานกันอย่างลึกซึ้ง
พามาเบิ่ง 5 จังหวัดอีสาน “อวดเมือง” อวดหยังแหน่? ในรอบ 12 ทีมสุดท้าย