Infographic

สรุปเรื่อง น่ารู้ แดนอีสาน ทั้ง เศรษฐกิจ ธุรกิจ สังคม ศิลปะ วัฒนธรรม

พาส่องเบิ่ง จำนวนผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม ปี2566

“ฮู้บ่ว่า? จำนวนผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมของภาคอีสานบอกอะไรเราได้บ้าง?” . ภาคอีสาน, ดินแดนที่เปี่ยมไปด้วยความแข็งแกร่งของแรงงาน และเป็นศูนย์กลางการพัฒนาเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย ข้อมูลจำนวนผู้ประกันตนในแต่ละประเภทในพื้นที่นี้ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขธรรมดา แต่สะท้อนถึงโครงสร้างการจ้างงานและทิศทางการพัฒนาอย่างแท้จริง! มาตรา 33: ตัวเลขแรงงานที่ทำงานในบริษัทหรือองค์กรต่าง ๆ หากมีการเปลี่ยนแปลง จะส่งผลต่อภาพรวมของภาคอุตสาหกรรมและการลงทุนในอีสาน ขยายหรือหดตัว? ตัวเลขนี้ตอบได้! มาตรา 39: แสดงถึงผู้ที่ยังคงรักษาสิทธิประโยชน์ แม้จะออกจากการเป็นลูกจ้างแล้ว สะท้อนความต้องการความมั่นคงในสวัสดิการ แม้ต้องพึ่งพาตนเองมากขึ้น มาตรา 40: กับยุคของแรงงานอิสระที่เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ จำนวนที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นสัญญาณว่าคนในภาคอีสานกำลังปรับตัวให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลงของโลกการทำงานที่ยืดหยุ่นกว่าเดิม . การเข้าใจตัวเลขเหล่านี้ช่วยให้เรามองเห็นภาพใหญ่ของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจในอีสาน ว่าจะก้าวไปทางไหน และยังช่วยกำหนดทิศทางนโยบายที่จะสนับสนุนแรงงานในภูมิภาคนี้ได้อย่างตรงจุด! . “เพราะในโลกของเศรษฐกิจและสังคม ตัวเลขไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่เป็นเครื่องมือที่ช่วยสร้างความมั่นคงและคุณภาพชีวิตให้กับคนอีสาน” . ที่มา  สำนักงานประกันสังคม . ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight . . #ISANInsight #อีสานอินไซต์ #อีสาน #ผู้ประกันตน#ผู้ประกันตนอีสาน2566

พาส่องเบิ่ง จำนวนผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม ปี2566 อ่านเพิ่มเติม »

อุดรธานี กับบทบาทสำคัญในยุคสงครามเย็นที่ส่งผลต่อสังคมและเศรษฐกิจในปัจจุบัน

อุดรธานี กับบทบาทสำคัญในยุคสงครามเย็นที่ส่งผลต่อสังคมและเศรษฐกิจในปัจจุบัน สงครามเย็น (พ.ศ. 2490-2534) เป็นความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกา (นำโดยฝ่ายประชาธิปไตยและทุนนิยม) และสหภาพโซเวียต (นำโดยฝ่ายคอมมิวนิสต์) เป็นการต่อสู้เชิงอุดมการณ์ การเมือง และการแย่งชิงอิทธิพลในระดับโลก โดยประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในฐานะพันธมิตรของสหรัฐฯ และพื้นที่ยุทธศาสตร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จังหวัดอุดรธานี มีความสำคัญมากในช่วงสงครามเย็นและสงครามเวียดนาม เนื่องจากเป็นที่ตั้งของฐานทัพอากาศซึ่งสหรัฐฯ ใช้เป็นศูนย์กลางในการปฏิบัติการทางทหารในอินโดจีน โดยสามารถสรุปเหตุการณ์สำคัญช่วงสงครามเย็นในอุดรธานี ได้ดังต่อไปนี้ พ.ศ. 2488-2489 : การอพยพครั้งใหญ่ของชาวเวียดนาม หลังจบสงครามโลกครั้งที่ 2 ความขัดแย้งระหว่างฝรั่งเศสและเวียดนามภายใต้การนำของโฮจิมินท์ประทุขึ้น คนเวียดนามหลายชีวิต หลบหนีการปราบจากฝรั่งเศส ข้ามฝั่งมายังชายแดนฝั่งโขงของไทย ในพื้นที่ นครพนม สกลนคร มุกดาหาร(ในขณะนั้นยังคงเป็นอำเภอ) และขยายถิ่นฐานมาตั้งรกรากยังอุดรธานีและขอนแก่น พ.ศ. 2497 : การเข้ามามีบทบาทของสหรัฐฯ ในอีสาน สหรัฐฯ ภายใต้การนำของปธน. จอห์น เอฟ เคนเนดี เริ่มเข้ามามีบทบาทในการป้องกันการแพร่ขยายของคอมมิวนิสต์ในภูมิภาคอินโดจีน ซึ่งเป็นการเปิดฉากสงครามเวียดนาม ซึ่งสหรัฐฯ มองว่าประเทศไทยเป็น “แนวหน้า” ของการต่อสู้กับการแพร่ขยายของคอมมิวนิสต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลายพื้นที่ในอีสาน รวมถึงอุดรธานี กลายเป็นพื้นที่สำคัญแก่กองทัพสหรัฐฯ ในการตั้งฐานทัพ พ.ศ. 2497-2505: เศรษฐกิจอุดรฯ ถูกพลิกโฉม สหรัฐฯ ได้มีการสนับสนุนงบประมาณ ในการก่อสร้างถนนมิตรภาพที่ตัดผ่านใจกลางเมืองอุดรจนแล้วเสร็จ รวมไปถึงเส้นทางรถไฟ และขยายถนนในแถบอีสานตอนบน ซึ่งวลีที่ว่า “ถนนไปที่ไหน ความเจริญไปที่นั่น” คงชัดเจนในกรณีของอุดรฯ ซึ่งเมืองอุดรในช่วงสงครามเวียดนามได้กลายเป็นศูนย์กลางการซื้อขายพืชเศรษฐกิจ การค้า การบริการ มีคนจีนอพยพเข้ามาค้าขายมาก ส่งผลเศรษฐกิจของอุดรธานีได้เจริญเติบโตในช่วงนี้ พ.ศ. 2507: กำเนิด “ค่ายรามสูร” เมืองอุดร ถูกเลือกเป็น 1 ใน 9 ที่ตั้งฐานทัพสหรัฐฯ ในไทยเพื่อการสนับสนุนกำลังรบ และได้สร้าง “ค่ายรามสูร” เพื่อเป็นสถานีตรวจจับสัญญาณวิทยุ ฐานทัพมีทหารประจำการกว่า 8,500 คน ก่อให้เกิดการจ้างงานคนท้องที่กว่า 10,000 คนเพื่อเป็นลูกจ้างและเจ้าหน้าที่ในตำแหน่งต่างๆ คนอุดรฯ มีการค้าขายและให้บริการกับทหารสหรัฐฯ ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลให้เศรษฐกิจอุดรธานี ขยายตัวอย่างรวดเร็ว พ.ศ. 2519: สิ้นสุดสงคราม อุดรซบเซา หลังสิ้นสุดสงครามเวียดนาม กองทัพสหรัฐเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ และได้ถอนกำลังทหารออกจากไทย รวมถึงในอุดรฯ ส่งผลคนท้องที่สูญเสียแหล่งรายได้จากการจ้างงานและการค้าขายกับทหารสหรัฐฯ เศรษฐกิจของจังหวัดจึงได้ซบเซาลงอย่างรวดเร็ว เป็นระยะเวลากว่า 10 ปี พ.ศ. 2531: จาก “ฐานทัพ” สู่ “ศูนย์กลางการค้าแห่งอีสาน” เศรษฐกิจจังหวัดอุดรธานีได้รับการฟื้นฟูอีกครั้ง ในยุคสมัยของพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ นายกรัฐมนตรีคนที่ 17 ที่ได้ประกาศนโยบาย “เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า” ส่งผลให้อุดรฯ ที่ใกล้กับเวียงจันทร์ กลับมาเป็นศูนย์กลางการค้าของอีสานและได้พัฒนามาจวบจนปัจจุบัน ผลจากช่วงสงครามเย็นต่อเมืองอุดรฯในปัจุบัน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โครงสร้างพื้นฐานหลายแห่งในอุดรธานียังคงเป็นมรดกจากช่วงสงครามเย็น ยกตัวอย่างที่สำคัญ

อุดรธานี กับบทบาทสำคัญในยุคสงครามเย็นที่ส่งผลต่อสังคมและเศรษฐกิจในปัจจุบัน อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง 3 ร้านอาหารดัง ที่ไม่เพียงสร้างชื่อเสียงในท้องถิ่น แต่ยังทำรายได้ทะลุ 100 ล้าน

วันนี้ ISAN Insight & Outlook จะพาทุกท่านมาเบิ่ง 3 ร้านอาหารดัง ที่ไม่เพียงสร้างชื่อเสียงในท้องถิ่น แต่ยังทำรายได้ทะลุ 100 ล้าน แต่ละร้านมีจุดเด่นและเคล็ดลับความสำเร็จที่น่าสนใจจนกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้ประกอบการทั้งรุ่นใหม่และรุ่นเก่ามาดูกัน   ตำกระเทย หรือ ตำกระเทย สาเกต ร้านส้มตำแสนแซ่บจากแดนอีสาน โดยมีจุดเริ่มต้นจากคุณจิรเดช เนตรวงค์ จากอดีตพนักงานขายวัสดุก่อสร้างและพนักงานรับจ้างทั่วไป จนถึงพ่อค้าคนกลางและพนักงานขายตรง เขาได้พลิกบทบาทมาสู่การเป็นเจ้าของธุรกิจร้านอาหาร พร้อมสร้างแบรนด์น้ำปลาร้าซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของร้าน คนอีสานกับส้มตำและน้ำปลาร้านั้นเป็นของคู่บ้านคู่เมืองกัน และหากถูกปรุงด้วยฝีมืออันจัดจ้าน ย่อมทำให้รสชาติแซ่บ นัว และถูกปากจนสามารถครองใจลูกค้าได้ไม่ยาก สิ่งนี้กลายเป็นจุดแข็งที่ทำให้ร้านตำกระเทยได้รับความนิยม แม้ตลาดส้มตำจะดูเหมือนง่ายต่อการเข้าถึง แต่ก็เต็มไปด้วยคู่แข่งมากมาย ไม่ว่าจะเป็นคู่แข่งรายเล็กที่มัดใจลูกค้าด้วยรสชาติที่กินอยู่ประจำ คู่แข่งขนาดกลางที่มีจุดขายในตัวเลือกที่หลากหลายและลูกเล่นต่างๆที่เพิ่มขึ้น ไปจนถึงคู่แข่งรายใหญ่ที่ตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้า ร้านตำกระเทยต้องเผชิญกับความท้าทายในการสร้างจุดยืนของตัวเอง หากไม่สามารถรักษาความแตกต่างและเอกลักษณ์ไว้ได้ ก็อาจทำให้เสียเปรียบได้ในระยะยาว อย่างไรก็ตาม จากรายได้จะพบว่าร้านตำกระเทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี แม้อาจมีความผันผวนจากต้นทุนวัตถุดิบ แต่ธุรกิจก็ยังคงเดินหน้าได้อย่างมั่นคง นอกจากนี้ ร้านยังได้ขยายธุรกิจด้วยการเปิดตัวแบรนด์น้ำปลาร้าที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่ง โดยเน้นจุดขายเรื่องรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ ที่ทำให้ลูกค้าสามารถนำไปใช้ทำส้มตำที่บ้านได้เหมือนทานที่ร้าน ความสำเร็จของตำกระเทยไม่ได้มาจากเพียงแค่รสชาติที่แซ่บถึงใจ แต่ยังรวมถึงการปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของตลาด และการสร้างแบรนด์ที่มีตัวตนชัดเจน   วี ที แหนมเนือง ร้านอาหารเวียดนามชื่อดังจากอุดรธานีที่ครองใจผู้บริโภคมายาวนาน มีจุดเริ่มต้นจากคุณทอง กุลธัญวัฒน์ ลูกชายคนที่สามของครอบครัวที่สืบทอดสูตรอาหารต้นตำรับจากบรรพบุรุษ คุณทองได้เริ่มกิจการที่จังหวัดอุดรธานีในปี พ.ศ. 2540 โดยใช้ชื่อร้านว่า “วี ที แหนมเนือง” ซึ่งชื่อร้านมีความหมายลึกซึ้ง “วี” มาจากชื่อคุณย่าวี และ “ที” มาจากชื่อคุณปู่ตวน คุณทองยังมีพี่สาวคือคุณแดง วิภาดา จิตนันทกุล ผู้ที่สืบทอดกิจการร้านแดงแหนมเนืองจากคุณแม่ที่จังหวัดหนองคายจนประสบความสำเร็จ และร้านแดงแหนมเนืองยังได้รับการยกย่องให้เป็น “ห้องรับแขกประจำจังหวัดหนองคาย” ส่วน วี ที แหนมเนืองนั้น ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามจากผู้บริโภค ด้วยความสดใหม่ของวัตถุดิบ รสชาติที่อร่อยคงที่ และการบริการที่ใส่ใจลูกค้า ทำให้ลูกค้ากลับมาทานซ้ำไม่ว่าจะเป็นครั้งไหนก็ยังคงประทับใจเหมือนครั้งแรก แม้ว่าจะมีการขยายสาขาไปทั่วประเทศจนกลายเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดแหนมเนือง แต่ผลประกอบการในปี พ.ศ. 2566 พบว่ารายได้รวมของบริษัทอยู่ที่ 257 ล้านบาท ขณะที่ต้นทุนขายสูงถึง 265 ล้านบาท รวมกับค่าใช้จ่ายในการบริหารและการขายอีก 19 ล้านบาท ทำให้ในปีนั้นบริษัทขาดทุนสุทธิ -42 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ธุรกิจร้านอาหารมักมีเงินสดหมุนเวียนในระบบทุกวัน และการใช้เครดิตเทอมสำหรับค่าใช้จ่ายบางส่วนช่วยสร้างสภาพคล่องแก่ธุรกิจได้ นอกจากนี้ การลงทุนเพื่อขยายกิจการหรือเพิ่มศักยภาพในระยะยาวอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อตัวเลขกำไรในระยะสั้น สำหรับการแข่งขันในตลาดอาหารเวียดนามที่เน้น “แหนมเนือง” แม้คู่แข่งรายใหญ่จะมีไม่มาก แต่ในพื้นที่ต้นตำรับอย่างอุดรธานีและหนองคาย กลับมีร้านแหนมเนืองหลากหลายที่ต่างชูเอกลักษณ์เฉพาะตัว สิ่งที่ร้านส่วนใหญ่มีเหมือนกันคือการใส่ใจในความสดสะอาดของผัก ซึ่งมักเป็นปัจจัยแรกที่ลูกค้าใช้ตัดสินใจเลือกซื้อ สิ่งที่ทำให้ วี ที แหนมเนือง โดดเด่นคือการยึดมั่นในคุณภาพของวัตถุดิบ หากผักไม่สดสมบูรณ์ 100% ทางร้านจะกำจัดทิ้งทันทีแม้ต้องเสียต้นทุนเพิ่ม เพราะร้านให้ความสำคัญกับความเชื่อมั่นของลูกค้ามากกว่าผลกำไรในระยะสั้น ความใส่ใจในรายละเอียดเช่นนี้ทำให้ วี ที แหนมเนือง ยังคงเป็นชื่อที่ลูกค้าไว้วางใจเสมอเมื่อนึกถึงอาหารเวียดนามคุณภาพดีที่มีมาตรฐานระดับประเทศ   โชคชัยสเต็กเฮ้าส์

พามาเบิ่ง 3 ร้านอาหารดัง ที่ไม่เพียงสร้างชื่อเสียงในท้องถิ่น แต่ยังทำรายได้ทะลุ 100 ล้าน อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง อัตราการว่างงานในภาคอีสานในไตรมาส 3 ปี 2567 เป็นจังใด๋แหน่

ฮู้บ่ว่า ภาคอีสานมีอัตราการว่างงานสูงขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2566 แต่เมื่อเปรียบเทียบรายไตรมาสภายในปีนี้ พบว่าอัตราการว่างงานมีแนวโน้มที่ปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากการเข้าสู่ฤดูกาลเกษตรกรรมและการปรับตัวดีขึ้นของภาคอุตสาหกรรมในอีสาน   ISAN Insight สิพามาเบิ่ง อัตราการว่างงานในภาคอีสานในไตรมาส 3 ปี 2567 เป็นจังใด๋แหน่ . อัตราการว่างงาน สะท้อนถึงสภาพเศรษฐกิจและสังคมของพื้นที่นั้นๆที่แตกต่างกันในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย เช่น ผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจ ภัยธรรมชาติ การเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้างแรงงาน นโยบายของภาครัฐ การปรับตัวของภาคการค้า อุตสาหกรรม และภาคการเกษตร รวมไปถึง การย้ายถิ่นฐานและการปรับตัวของแรงงาน ซึ่งสามารถส่งผลให้จำนวนผู้ว่างงานในแต่ละพื้นที่เปลี่ยนแปลงไป . การเพิ่มขึ้นของอัตราการว่างงานในภาคอีสานเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2566  เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้า ภาคอีสานมีอัตราการว่างงานที่เพิ่มสูงขึ้นมาก และหากเทียบรายไตรมาสจะพบว่า ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2567 มีการเพิ่มขึ้นของอัตราการว่างงานที่สูง จากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งนับว่าสูงมาก และคาดว่าเป็นผลมาจาก การชะลอตัวของการลงทุนในภาคเอกชน ผลกระทบต่อ SME จากการนำเข้าสินค้าจีน รวมไปถึงราคาน้ำมันโลกที่สูงขึ้น ปัจจัยเหล่านี้เริ่มขึ้นในช่วงปลายปี 2566 สืบเนื่องไปถึงช่วงต้นปี 2567 ส่งผลให้อัตราการว่างงานในภาคอีสานมีการปรับตัวสูงขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นปี 2567 ทำให้แม้ว่าอัตราการว่างงานในไตรมาสที่ 3 ของภาคอีสานจะมีการปรับตัวลดลงจากช่วงต้นปีนี้ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า จะพบว่า อัตราการว่างงานไตรมาส 3 ของภาคอีสาน ยังคงสูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว   . การลดลงของอัตราการว่างงานในภาคอีสานเมื่อเปรียบเทียบรายไตรมาสในปี 2567 อัตราการว่างงานของภาคอีสานในไตรมาสที่ 3 ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องจากต้นปี เป็นผลมาจากการเข้าสู่ฤดูกาลเกษตรกรรมและการปรับตัวดีขึ้นของภาคอุตสาหกรรมในภาคอีสาน เป็นผลให้ความต้องการแรงงานสูงขึ้นและมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น ซึ่งถูกผลักดันด้วยการปรับตัวที่ดีขึ้นของการบริโภคในภาคเอกชนและการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวในภาคอีสาน ทำให้เมื่อเปรียบเทียบอัตราการว่างงานในภาคอีสานรายไตรมาสในปี 2567 จะพบว่า อัตราการว่างงานในไตรมาส 3 ของภาคอีสานมีการปรับตัวลดลงจากช่วงต้นปี   . จังหวัดในภาคอีสานที่มีจำนวนผู้ว่างงานมากที่สุดได้แก่ จังหวัดนครราชสีมา ที่เป็นแหล่งอุตสาหกรรมการผลิตขนาดใหญ่ในภาคอีสาน โดยมีอัตราการว่างงาน 1.4% ซึ่งค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับภาคอีสานทั้งหมด และจังหวัดที่มีอัตราการว่างงานสูงที่สุดคือ จังหวัดหนองบัวลำภู ที่มีอัตราการว่างงานสูงมากถึง 2.9% . หมายเหตุ : การว่างงานหมายถึง บุคคลที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป และในสัปดาห์แห่งการสำรวจ มีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้  ไม่ได้มีงานและงานประจำ แต่ได้หางาน สมัครงานหรือรอการบรรจุในระหว่าง 30 วันก่อนวันสัมภาษณ์ ไม่ได้มีงานและงานประจำ และไม่ได้หางานทำในระหว่าง 30 วันก่อนวันสัมภาษณ์ แต่พร้อมจะทำงาน ที่มา : สำนักงานสถิติแห่งชาตื  

พามาเบิ่ง อัตราการว่างงานในภาคอีสานในไตรมาส 3 ปี 2567 เป็นจังใด๋แหน่ อ่านเพิ่มเติม »

ไทยครองอันดับ 2 ประเทศที่มีแนวโน้มการผูกขาดในตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากที่สุด จากทุกประเทศในแถบลุ่มแม่น้ำโขง (GMS)

  ฮู้บ่ว่า ประเทศไทยมีแนวโน้มการผูกขาดในตลาดแอลกอฮอล์มากที่สุดเป็นอันดับ 2 จากประเทศทั้งหมดในแถบลุ่มแม่น้ำโขง   . การกระจุกตัวของผู้เล่นในตลาดที่สูง สามารถบ่งบอกถึงแนวโน้มด้านการแข่งขันในตลาดที่น้อย และบ่งบอกถึงอำนาจของบริษัทเจ้าใหญ่ที่มีต่อตลาด อีกทั้งความเข้มข้นของแข่งขันในตลาดที่น้อยสามารถส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคในด้านคุณภาพ ความหลากหลาย และราคาของสินค้านั้นๆ    . โดยค่าดัชนีการกระจุกตัวของตลาด(HHI) สามารถบ่งบอกถึงแนวโน้มของการผุกขาดและความเข้มข้นของการแข่งขันภายในตลาดนั้นๆได้ ค่า HHI ที่สูงกว่า 2,500 หมายความว่าตลาดมีการแข่งขันน้อยและมีการกระจุกตัวของผู้เล่นสูง ค่า HHI อยู่ระหว่าง 2500 ถึง 1500 หมายความว่าตลาดมีการแข่งขันและการกระจุกตัวปานกลาง และค่า HHI ที่น้อยกว่า 1500 หมายความว่าตลาดมีความเข้มข้นในการแข่งขันสูง มีการกระจุกตัวของผู้เล่นต่ำ ในขณะเดียวกัน ค่า HHI ก็ไม่สามารถบ่งบอกได้อย่างแน่ชัดว่า ตลาดนั้นๆเป็นตลาดที่ถูกผูกขาดหรือไม่ เนื่องจากยังมีปัจจัยในด้านอื่นๆ เช่น  พฤติกรรมของผู้เล่นในตลาด โครงสร้างอุตสาหกรรม และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง ที่สามารถส่งผลต่ออำนาจการผูกขาดของผู้เล่นในตลาดนั้นๆ ได้ด้วยเช่นกัน ดังนั้นค่า HHI จึงสามารถบ่งบอกได้เพียงแนวโน้มของการผูกขาดและความเข้มข้นของการแข่งขันในตลาดเท่านั้น    . ตลาดสินค้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในแต่ละประเทศในแถบลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) มีความแตกต่างกันในแง่ของความเข้มข้นของการแข่งขันเป็นอย่างมาก และบริษัทภายในประเทศไทยเองก็มีบทบาทสำคัญในตลาดต่างประเทศอีกด้วย เช่น บริษัทไทยเบฟเวอเรจ ที่ครองส่วนแบ่งการตลาดติดอันดับสูงในตลาดของประเทศ GMS อาธิ ส่วนแบ่งการตลาด 45.1%.ในไทย, 33.5% ในเวียดนาม และ 15.3% ในเมียนมา ซึ่งแสดงถึงศักยภาพสินค้าไทยที่มีต่อประเทศเพื่อนบ้านได้อย่างชัดเจน    . กลุ่มประเทศที่มีแนวโน้มการผูกขาดในตลาดสูง    ไทย มีแนวโน้มการผูกขาดที่สูงเป็นอันดับ 2 รองจากลาว และมีเจ้าใหญ่ในตลาด 2 รายคือ ไทยเบฟเวอเรจและบุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ส่งผลให้เรามักจะเห็นสินค้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในตลาดของไทยไม่หลากหลายมากนัก โดยที่สองบริษัทนี้มีส่วนแบ่งการตลาดรวมกันอยู่ที่ 86.5% อีกทั้งสินค้าของบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ ยังมีศักยภาพด้านการแข่งขันในตลาดต่างประเทศที่สูง จากการเข้าครองส่วนแบ่งการตลาดในประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย   ลาว มีแนวโน้มการผูกขาดที่สูงเป็นอันดับ 1 ของประเทศใน GMS เนื่องจากมีเจ้าใหญ่เพียงเจ้าเดียวคือ คาร์ลสเบิร์ก เอ/เอส ที่กินส่วนแบ่งการตลาดไปมากถึง 83.7% ทำให้ความเข้มข้นของการแข่งขันในตลาดเครื่องดื่มแอลลกอฮอล์ในลาวมีน้อยและนับได้ว่ามีโอกาศเกิดการผูกขาดในตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สูงมาก    เวียดนาม มาเป็นอันดับ 3 ของการมีแนวโน้มการผูกขาดสูง ที่มีเจ้าใหญ่ในตลาด 2 รายคือไฮเนเก้น เอ็นวี และ ไทยเบฟเวอเรจที่เป็นบริษัทของไทยนี่เอง โดยมีส่วนแบ่งการตลาดของ 2 เจ้าใหญ่รวมกันอยู่ที่ 75.9%   . กลุ่มประเทศที่มีแนวโน้มการผูกขาดในตลาดปานกลางประกอบด้วย กัมพูชา และเมียนมา ส่วนของประเทศที่มีแนวโน้มการผูกขาดน้อยที่สุดคือ จีนที่เป็นประเทศที่มีความเข้มข้นของการแข่งขันในตลาดมากที่สุด เนื่องจากมีบริษัทที่เป็นอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หลายเจ้า และผู้เล่นรายใหญ่ไม่ได้ครองส่วนแบ่งการตลาดในสัดส่วนที่สูงมากนัก ทำให้สินค้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศจีนมีความหลากหลาย ส่งผลให้เกิดการแข่งขันด้านคุณภาพและราคาที่เข้มข้น ซึ่งส่งผลดีให้กับผู้บริโภคภายในประเทศโดยตรง  

ไทยครองอันดับ 2 ประเทศที่มีแนวโน้มการผูกขาดในตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากที่สุด จากทุกประเทศในแถบลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง 👀✋ เช็กจำนวนล่ามภาษามือในอีสาน อยู่จังหวัดไหนกันบ้าง ?

ฮู้บ่ว่าล่ามภาษามือทั่วไทยเหลือเพียง 202 คน เท่านั้น และในภาคอีสานก็มีล่ามเพียง 17 คนเท่านั้น ซึ่งไม่สอดคล้องกับความต้องการของสังคม . ISAN Insight and Outlook พามาเบิ่ง เช็กจำนวนล่ามภาษามือในอีสาน อยู่จังหวัดไหนกันบ้าง ?..#ล่ามภาษามือ ในไทย พบว่ามีจำนวนไม่สัมพันธ์กันกับคนพิการทางการได้ยินหรือสื่อสารความหมาย จากเดิมที่มีการจดแจ้งไว้กับกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เมื่อปี 2552 – 2560 จำนวน 659 คน แต่ปัจจุบันมีเพียง 202 คน เท่านั้น* แบ่งเป็นล่ามภาษามือหูดี 186 คน, ล่ามภาษามือหูหนวก 14 คน และล่ามภาษามือหูตึง 2 คน.นอกจากนี้ ยังพบว่าจังหวัดที่มีล่ามภาษามือคอยให้บริการประชาชนมีเพียง 44 จังหวัด (จากทั้งหมด 77 จังหวัด) ส่วนใหญ่กระจุกตัวในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยจังหวัดที่มีล่ามภาษามือมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพฯ (75 คน) , นครปฐม (21 คน) และนนทบุรี (17 คน).ประเทศไทยมีคนพิการทางการได้ยินหรือสื่อสารความหมาย ที่มีบัตรประจำตัวคนพิการ ทั้งหมด 423,973 คน จากฐานข้อมูลทะเบียนกลาง ของกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เมื่อวันที่ 29 มี.ค. 67 โดยภูมิภาคที่มีคนพิการทางการได้ยินมากที่สุดคือภาคอีสาน (162,456 คน) รองลงมาคือ ภาคกลางและตะวันออก (84,350 คน) ภาคใต้ (55,020 คน) และ กทม. (22,884 คน).อย่างไรก็ตามทางสมาคมล่ามภาษามือแห่งประเทศไทย เคยวิเคราะห์ข้อมูลเฉลี่ยความสามารถในการให้บริการด้านภาษามือชุมชน ไว้ว่าคนหูหนวก 10 คนต่อล่ามภาษามือ 1 คน ดังนั้น ประเทศไทยควรมีล่ามภาษามือในสัดส่วนที่เหมาะสม ประมาณ 42,000 คน..อ้างอิงจาก:กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ข้อมูล ณ วันที่ 20 ส.ค. 2567.ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่https://linktr.ee/isan.insight.#ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ล่ามภาษามือ #ล่ามภาษามืออีสาน

พามาเบิ่ง 👀✋ เช็กจำนวนล่ามภาษามือในอีสาน อยู่จังหวัดไหนกันบ้าง ? อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง 4 บริษัทอีสานในตลาดหลักทรัพย์ mai มูลค่ารวมกว่า 1,497 ล้านบาท

พามาเบิ่ง 4 บริษัทอีสานในตลาดหลักทรัพย์ mai มูลค่ารวมกว่า 1,497 ล้านบาท . . ตลาดหลักทรัพย์ของประเทศไทยมีด้วยกัน 3 ตลาด ได้แก่ SET, mai และ LIVEx ซึ่งหลายท่านอาจจะคุ้นหูกับบริษัทจากแดนอีสานบ้านเฮาที่อยู่ใน SET กันมาพอสมควร แต่ทว่าตลาด mai นั้นยังมีอีกหลายท่านที่เคยได้ยิน หรือรู้จักกันมาบ้าง แต่อาจจะไม่รู้ว่าบริษัทจากอีสานบริษัทใดบ้างที่อยู่ในตลาด mai . ตลาด mai หรือย่อมาจาก Market for Alternative Investment  เป็นแหล่งระดมทุนของธุรกิจที่มีศักยภาพขนาดกลางและขนาดเล็ก ซึ่งมีทุนชำระแล้วหลัง IPO ตั้งแต่ 50 ล้านบาทขึ้นไป โดยเน้นธุรกิจที่มีการเติบโตสูง และมีแนวโน้มการเติบโตได้ดีในอนาคต (Business for the Future) . 4 จากบริษัทแดนอีสานในตลาด mai ได้แก่ 1.บริษัท ดีเฮ้าส์พัฒนา จำกัด (มหาชน) จังหวัดมหาสารคาม ธุรกิจ: อสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง: ก่อสร้างบ้าน ทาวน์โฮม อาคารพาณิชย์ รายได้: 543.99 ล้านบาท | กำไร: -20.36 ล้านบาท เติบโต: 370.50% | อัตรากำไรสุทธิ: 14.49%   2.บริษัท ช ทวี จำกัด (มหาชน) จังหวัดขอนแก่น ธุรกิจ: สินค้าอุตสาหกรรม: ผลิตและจำหน่ายรถพ่วง อะไหล่ และซ่อมบริการ รายได้: 163.77 ล้านบาท | กำไร: -572.48 ล้านบาท เติบโต: -22.94% | อัตรากำไรสุทธิ: 10.94%   3.บริษัท เค.ซี.เมททอลชีท จำกัด (มหาชน) จังหวัดขอนแก่น ธุรกิจ: สินค้าอุตสาหกรรม: หลังคาเหล็กเคลือบ รีดลอน โครงสร้างผนังและหลังคา รายได้: 204.00 ล้านบาท | กำไร: -2.82 ล้านบาท เติบโต: 7.33% | อัตรากำไรสุทธิ: 78.75%   4.บริษัท ชูวิทย์ฟาร์ม (2019) จำกัด (มหาชน) (บุรีรัมย์) ธุรกิจ: เกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร: ฟาร์มเลี้ยงไก่พันธุ์เนื้อ

พามาเบิ่ง 4 บริษัทอีสานในตลาดหลักทรัพย์ mai มูลค่ารวมกว่า 1,497 ล้านบาท อ่านเพิ่มเติม »

ชวนมาเบิ่ง “วัวแดนอีสาน” กว่า 5.6 ล้านตัว กระจายอยู่ไหนบ้าง

ชวนมาเบิ่ง “วัวแดนอีสาน” กว่า 5.6 ล้านตัว กระจายอยู่ไหนบ้าง . . ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นภูมิภาคที่เลี้ยงวัวมากที่สุดในประเทศ มีสัดส่วนกว่า 54.3% เนื่องจากเป็นภูมิภาคที่ได้เปรียบในหลายด้าน อย่างเช่น มีความได้เปรียบด้านแหล่งวัตถุดิบอาหารสัตว์ โดยเฉพาะวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น กากมันสำปะหลัง รำ ปลายข้าว ฟางข้าว และเปลือกข้าวโพด ที่นิยมนำมาผสมเป็นอาหารข้นเลี้ยงโคขุน เนื่องจากมีราคาถูก และให้คุณค่าทางโภชนาการสูงกว่าอาหารหยาบ (หญ้าสด) รวมไปถึงความได้เปรียบในเส้นทางคมนาคมการส่งออกวัวเนื้อมีชีวิตไป สปป. ลาว ซึ่งจะเป็นการส่งออกไปจีนผ่าน สปป.ลาว เป็นหลัก . ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีจำนวนการเลี้ยงวัวมากกว่า 5,605,513 ตัว แบ่งเป็นวัวเนื้อกว่า 97.2% และวัวนมเพียง 2.8% เท่านั้น และมีจำนวนเกษตรกรที่เลี้ยงวัวอยู่  977,716 คน ซึ่งแบ่งเป็น เกษตรกรที่เลี้ยงวัวเนื้ออยู่ 99.5% และเกษตรกรที่เลี้ยงวัวเนื้ออยู่เพียง 0.5% . จะเห็นได้ว่าแต่ละกลุ่มจังหวัดจะนิยมเลี้ยงวัวเนื้อมากกว่าเนื้อนม แล้วทำไมเกษตรกรถึงนิยมเลี้ยงวัวเนื้อ? . เนื่องจากโคเนื้อเป็นหนึ่งในสัตว์เศรษฐกิจสำคัญของไทย ทั้งในเชิงของการใช้งาน รวมถึงการเลี้ยงขุนเพื่อบริโภค และใช้เพื่อการจำหน่าย อีกทั้งยังมีการผลักดัน “โคเนื้อไทย” เป็นสินค้าอุตสาหกรรมระดับพรีเมี่ยม ด้วยการแปรรูปพัฒนาคุณภาพ มาตรฐาน รูปแบบ และบรรจุภัณฑ์ของสินค้า และยังมีโครงการปรับปรุงพันธุ์โคเนื้อให้สามารถผลิตเนื้อที่มีคุณภาพเทียบเคียงกับเนื้อนำเข้าจาก ต่างประเทศหลากหลายสายพันธุ์มากขึ้น อย่างเช่น เนื้อโคขุนโพนยางคำจากจังหวัดสกลนคร เนื้อโคราชวากิว  . นอกจากนี้ เนื้อโคคุณภาพดีของภาคอีสานยังได้รับคัดเลือกให้เป็นเมนูอาหารขึ้นโต๊ะต้อนรับผู้นำระดับโลกในการประชุม “APEC 2022” ขณะเดียวกันมีการปรับปรุงพันธุ์โคเนื้อ “โคดำลำตะคอง” จากนวัตกรรมการผสม 3 สายพันธุ์ ได้แก่ โคพื้นเมือง วากิว และแองกัส ถือเป็นตัวอย่างการพัฒนาการเลี้ยงโคเนื้อคุณภาพสูง รองรับความต้องการบริโภคในประเทศที่เปลี่ยนไปในทิศทางพรีเมียมมากขึ้น ซึ่งอาจช่วยทดแทนการนำเข้าจากต่างประเทศได้มากขึ้นเรื่อย ๆ ในอนาคต . . 5 อันดับจังหวัดที่เลี้ยงวัวมากที่สุดในประเทศ ก็จะเป็นจังหวัดนครราชสีมา สุรินทร์ บุรีรัมย์ อุบลราชธานี และศรีสะเกษ ตามลำดับ ซึ่งจังหวัดเหล่านี้ก็จะอยู่ในกลุ่มจังหวัด “นครชัยบุรินทร์” และ “ราชธานีเจริญศรีโสธร” หรืออีสานล่างนั่นเอง เพียง 2 จังหวัดถือว่ามีสัดส่วนการเลี้ยงวัวมาก 60% เลยทีเดียว  . ซึ่งสาเหตุที่ทำให้กลุ่มจังหวัดอีสานล่าง อย่าง “นครชัยบุรินทร์” และ “ราชธานีเจริญศรีโสธร” มีการเลี้ยงวัวมากที่สุด นั่นก็คือ อีสานตอนล่างมีขนาดพื้นที่ที่เหมาะสมและทรัพยากรโดยรวมที่เอื้อต่อการเลี้ยงวัว ฟาร์มเลี้ยงวัวรายใหญ่ในภาคอีสานก็มักจะอยู่ในกลุ่มจังหวัดเหล่านี้  . โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มนครชัยบุรินทร์ อย่าง “บริษัท เซ่งเฮงฟาร์ม จำกัด” จากจังหวัดบุรีรัมย์ที่มีรายได้รวมในปี 2566 กว่า 248 ล้านบาท ซึ่งเป็นฟาร์มเลี้ยงวัวที่มีรายได้มากที่สุดในประเทศ

ชวนมาเบิ่ง “วัวแดนอีสาน” กว่า 5.6 ล้านตัว กระจายอยู่ไหนบ้าง อ่านเพิ่มเติม »

ส.ขอนแก่น ธุรกิจที่มีชื่อ “ขอนแก่น” แต่ไม่ได้มาจาก “ขอนแก่น” จุดเริ่มต้นจากของฝาก สู่อาณาจักรพันล้าน

  ส.ขอนแก่น แบรนด์ของกินแสนอร่อยไปที่ไหนก็เจอ หลายคนคงคิดว่าชื่อ ส.ขอนแก่น คงต้องเป็นแบรนด์ของคนขอนแก่น ที่เริ่มต้นจากขอนแก่นแน่ๆ แต่ที่จริงแล้วแบรนด์ ส.ขอนแก่น มีจุดเริ่มต้นที่กรุงเทพ โดยคนกรุงเทพที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับจังหวัดขอนแก่นแต่อย่างใด นอกจากสินค้าที่นำมากขายนั้นมาจากจังหวัดขอนแก่นในช่วงก่อตั้ง   จุดเริ่มต้นของ ส.ขอนแก่น เริ่มต้นในปี พ.ศ. 2527 มาจาก คุณเจริญ รุจิราโสภณ จากการสังเกตุว่าคนกรุงเทพนิยมบริโภคอาหารประเภทหมูหย็อง หมูแผ่น และกุนเชียง ทำให้เมื่อคุณเจริญ เดินทางมายังจังหวัดขอนแก่นก็จะซื้อผลิตภัณฑ์เหล่านี้มาขายที่กรุงเทพ หรือก็คือของฝากจากขอนแก่นนั่นเอง นี่จึงเป็นที่มาของชื่อแบรนด์ “ส.ขอนแก่น” หรือ “สินค้าจากขอนแก่น” เป็นชื่อแบรนด์ที่เข้าใจง่ายและสื่อสารได้เป็นอย่างดี จนใจปัจจุบันผ่านมาแล้วกว่า 40 ปี ส.ขอนแก่น มีการพัฒนาสินค้าใหม่ๆออกสู่ตลาดมากมาย โดยการผลิตนั้นใช้เครื่องจักรและเทคโนโลยีสมัยใหม่ในการผลิต และมีการทำฟาร์มสุกรของตนเองเพื่อควบคุมราคา และคุณภาพให้ได้มาตรฐานสากล โดยที่เสน่ห์ของความอร่อยไม่ได้หายไปไหน   แม้ในปัจจุบันจะสามารถพูดได้ว่า ส.ขอนแก่น ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับขอนแก่นอีกแล้วดังเช่นในช่วงเริ่มต้นที่ต้องซื้อสินค้าจากขอนแก่นไปขายในกรุงเทพ ด้วยการที่บริษัทจะต้องมีการเติบโตและควบคุมคุณภาพตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำไม่ว่าจะเป็นการทำฟาร์มสุกรเลี้ยงหมูเอง การแปรรูปเนื้อสัตว์ ไปจนถึงบรรจุภัณฑ์ และส่งขายไปยังที่ต่างๆ ที่ไม่ใช่เพียงแค่ในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังส่งขายไปยังต่างประเทศมากมาย ทั้งยังมีโรงงานผลิตในต่างประเทศอีกด้วย ไม่ใช่แค่เพียง ส.ขอนแก่น เท่านั้น แต่บริษัทยังคงมีแบรนด์ย่อยอีกมากมาย ได้แก่ ส.ขอนแก่น หมูดี บ้านไผ่ หมูแชมป์ ห้วยแก้ว แบรนด์กันเอง Entrée (อองเทร่) ยูนนาน แต้จิ๋ว มหาชัยฟู้ดส์ ไทเป  ไทยเดิม เซี่ยงไฮ้ และ ไท่ เป่า หลง สินค้าหลักของ ส.ขอนแก่น นั้นจะเป็นอาหารแปรรูปจากเนื้อสัตว์ถึง 53% และเป็นอาหารทะเลแปรรูป 33% โดย ส.ขอนแก่น จะเน้นไปทางอาหารพื้นเมืองไทยเป็นหลัก จากการที่สินค้าเข้าถึงง่าย หลากหลาย และรสชาติที่ถูกปาก หากมองในด้านของรายได้บริษัทจะพบว่า รายได้รวมของบริษัทมีการเพิ่มขึ้นในทุกปี แต่การเพิ่มขึ้นขางรายได้นั้นสิ่งหนึ่งที่ตามมาเป็นเงาตามตัวในธุรกิจคือต้นทุนที่ตามมา โดยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2565 สัดส่วนต้นทุนการขายของทางบริษัทมีการปรับตัวสูงขึ้น ส่วนหนึ่งผลมาจากต้นทุนของเนื้อสัตว์ในปี พ.ศ. 2565 นั้นมีการปรับตัวสูงขึ้น ก่อนจะมีการปรับลดลงมาในปี พ.ศ. 2566 แต่การที่บริษัทมีการทำฟาร์มสุกรของตนเองนั้นทำให้ตัวธุรกิจไม่ได้รับผลกระทบมากเมื่อเทียบกับธุรกิจที่ไม่มีฟาร์มสุกรของตนเอง   ทั้งนี้ ส.ขอนแก่น ก็ยังคงเป็นแบรนด์ยังคงทำให้คนนึกถึงเวลามาเที่ยวขอนแก่นว่านักท่องเที่ยวควรจะซื้อของฝากอะไรจากขอนแก่น แม้ของฝากชิ้นนั้นจะไม่ใช่แบรนด์ของ ส.ขอนแก่น เองก็ตาม แต่ก็เป็นการช่วยให้ธุรกิจในพื้นที่มีรายได้ และสามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำเลยว่า ส.ขอนแก่น เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ช่วยนำเสนอสินค้าพื้นเมืองของขอนแก่นได้เป็นอย่างดี   ฮู้บ่ว่า? คุณธนินท์ เจียรวนนท์ เจ้าของเครือเจริญโภคภัณฑ์ เคยให้ HR ติดต่อและทาบทาม คุณเจริญ รุจิราโสภณ อยู่หลายครั้ง จนกระทั่งได้ข้อเสนอที่ลงตัวจึงได้ร่วมงานด้วยกัน อีกทั้งในตอนที่ CP สนใจธุรกิจอาหาร คุณเจริญ รุจิราโสภณ

ส.ขอนแก่น ธุรกิจที่มีชื่อ “ขอนแก่น” แต่ไม่ได้มาจาก “ขอนแก่น” จุดเริ่มต้นจากของฝาก สู่อาณาจักรพันล้าน อ่านเพิ่มเติม »

อีสานอินไซต์ พาเลาะเบิ่ง ตัวอย่าง “ปราสาทหิน” ถิ่นอีสานใต้ ร่องรอยแหล่งอารยธรรมขอมโบราณ

ภาคอีสานของเราถือว่ามีความโดนเด่นในเรื่องการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ ทั้งในแง่มุมของวิถีชีวิต วัฒนธรรม และอาหารการกิน หากมองในแง่เศรษฐกิจของท้องถิ่น ปราสาทหินถิ่นอีสานใต้สามารถสร้างเม็ดเงินจากการท่องเที่ยว โดยถือเป็นการกระจายของนักท่องเที่ยวและกระจายรายได้สู่ชุมชนและบริเวณใกล้เคียงได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังทำคนในชุมชนเกิดความคิดสร้างสรรค์ในการพัฒนาคุณภาพของสินค้าและบริการแก่นักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังปราสาทหิน อย่างผลิตภัณฑ์ชุมชน อาหาร ขนมโบราณ เมนูอาหารดั้งเดิม และการแสดงชุมชน   ดินแดนอีสานใต้อันประกอบด้วย จังหวัดนครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี เป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่อารยธรรมขอมโบราณยังคงปรากฏมีร่องรอยอยู่ในปัจจุบัน โดยถูกถ่ายทอดออกมาในรูปแบบปราสาทหินและศาสนสถานต่าง ๆ ซึ่งสถานที่เหล่านั้นนอกจากจะเป็นแหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์ ศิลปะ และสถาปัตยกรรมชั้นดีแล้ว ยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญจนก่อเกิดเป็นประเพณีและเทศกาลที่เกี่ยวข้อง   อีสานอินไซต์ พาเลาะเบิ่ง ตัวอย่าง “ปราสาทหิน” ถิ่นอีสานใต้ ร่องรอยแหล่งอารยธรรมขอมโบราณ   🪨ปราสาทหินพิมาย📍นครราชสีมา สร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 16 เป็นปราสาทหินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยมีลักษณะพิเศษ คือ ปราสาทประธานสร้างหันหน้าไปทางทิศใต้ ต่างจากปราสาทหินอื่น ๆ ที่มักหันไปทางทิศตะวันออก สันนิษฐานว่าเพื่อให้หันรับกับเส้นทางตัดมาจากเมืองยโศธรปุระ เมืองหลวงของอาณาจักรขอม โดยเป็นพุทธสถานในลัทธิมหายาน   🪨ปราสาทหินพนมรุ้ง📍บุรีรัมย์ ปราสาทหินพนมรุ้งสร้างขึ้นเพื่อถวายแด่องค์พระศิวะ เทพเจ้าสูงสุดในศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย เขาพนมรุ้งและปราสาทบนยอดเขาจึงเปรียบเสมือนเขาไกรลาส อันเป็นที่ประทับของพระศิวะ และยังเป็นสัญลักษณ์ของศูนย์กลางจักรวาล โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมแบบขอม สร้างด้วยศิลาแลงและหินทราย มีอาคารเรียงรายไปจนถึงปราสาทประธาน   นอกจากนี้ยังมีความมหัศจรรย์ที่ถือเป็นไฮไลต์ของที่นี่ คือ ปรากฏการณ์ดวงอาทิตย์ลอด 15 ช่องประตูปราสาทพนมรุ้ง ซึ่งปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้น 4 ครั้งต่อปีเท่านั้นอีกด้วย   🪨ปราสาทหินเมืองต่ำ📍ดบุรีรัมย์ สร้างขึ้นในราวปลายพุทธศตวรรษที่ 16 เป็นศาสนสถานในศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย เนื่องจากได้มีการขุดพบศิวลึงก์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนองค์พระศิวะ เทพเจ้าสูงสุดในลัทธิไศวนิกาย ที่บริเวณปราสาทประธาน ส่วนพระวิษณุน่าจะได้รับการนับถือในฐานะเทพเจ้าชั้นรอง เพราะภาพสลักส่วนมากที่ปราสาทหลังนี้ สลักเรื่องเกี่ยวกับการอวตารของพระวิษณุ   มีลักษณะเป็นกลุ่มปราสาทอิฐ 5 องค์ ตั้งอยู่บนศิลาแลงอันเดียวกัน รอบล้อมด้วยระเบียงคดและซุ้มประตู, กำแพงแก้วและซุ้มประตู และบาราย (ทะเลเมืองต่ำ) หรืออ่างเก็บน้ำที่ขุดเพื่อใช้ในการอุปโภคบริโภคของชุมชนเมืองในสมัยโบราณ  . 🪨ปราสาทศีขรภูมิ📍สุรินทร์ สร้างขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 17 เนื่องในศาสนาพราหมณ์ลัทธิไศวนิกาย (บูชาพระศิวะเป็นใหญ่) ต่อมามีการบูรณะส่วนยอดของปราสาทหลังทิศตะวันตกเฉียงใต้ ในราวพุทธศตวรรษที่ 22 สมัยศิลปะล้านช้าง ดังมีจารึกอักษรธรรมปรากฏอยู่ ณ ปราสาทแห่งนี้ ลักษณะทางสถาปัตยกรรมภายในประกอบด้วยปราสาทก่ออิฐที่ไม่สอปูน จำนวน 5 ห้อง องค์กลางเป็นปรางค์ประธาน ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงเดียวกัน มีคูน้ำล้อมรอบทั้ง 4 ด้าน และเว้นเป็นทางเข้าอยู่ทางทิศตะวันออก   🪨ปราสาทตาเมือน📍สุรินทร์ เป็นที่พักคนเดินทางแห่งหนึ่งใน 17 แห่ง ที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 มหาราช โปรดฯ ให้สร้างขึ้น มีลักษณะเป็นปรางค์เดียวมีห้องยาวเชื่อมต่อมาทางด้านหน้าผนังด้านหนึ่งปิด ทึบ แต่สลักเป็นหน้าต่างหลอก ส่วนอีกด้านมีหน้าต่างเรียงกันโดยตลอด   🪨ปราสาทตาเมือนโต๊ด

อีสานอินไซต์ พาเลาะเบิ่ง ตัวอย่าง “ปราสาทหิน” ถิ่นอีสานใต้ ร่องรอยแหล่งอารยธรรมขอมโบราณ อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top