การจัดอันดับเมืองที่ดีที่สุดในโลกสำหรับ Digital Nomad ปี 2025 ไม่ได้เป็นเพียงลิสต์ท่องเที่ยวเชิงไลฟ์สไตล์เท่านั้น แต่เป็นการสะท้อนการเปลี่ยนผ่านเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจโลก จากระบบแรงงานที่ผูกติดกับสำนักงาน สู่ระบบแรงงานที่เคลื่อนย้ายได้อย่างเสรี เมืองจึงไม่ใช่เพียงพื้นที่อยู่อาศัย แต่กลายเป็น “สินทรัพย์ทางเศรษฐกิจ” ที่แข่งขันกันดึงดูดทุนมนุษย์จากทั่วโลก และในเวทีการแข่งขันนี้ “กรุงเทพมหานคร” ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ชนะอันดับหนึ่งของโลก ขณะที่ “นครราชสีมา” กลายเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจของการผงาดขึ้นของเมืองรองในระบบเศรษฐกิจดิจิทัล
มีรายงานจาก HotelWithTub แพลตฟอร์มค้นหาที่พักทั่วโลก ได้สำรวจและจัดอันดับ 100 เมืองที่ดีที่สุดในโลกสำหรับ Digital Nomad ปี 2025 จากการเก็บข้อมูลกว่า 1,300 เมืองทั่วโลก โดยใช้เกณฑ์หลากหลายมิติ ตั้งแต่ค่าครองชีพ คุณภาพชีวิต ความปลอดภัย โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ไปจนถึงความนิยมบนสื่อสังคมออนไลน์ ผลลัพธ์สะท้อนแนวโน้มสำคัญว่าแรงงานยุคใหม่ไม่ได้มองหา “เมืองที่ดีที่สุด” ในเชิงหรูหรา แต่ต้องการ “เมืองที่คุ้มค่าที่สุด” ต่อการใช้ชีวิตและการทำงานในระยะยาว และนี่คือจุดที่ประเทศไทยโดดเด่นเหนือประเทศอื่นอย่างชัดเจนนั่นเอง
กรุงเทพมหานคร เมืองต้นทุนต่ำ ประสิทธิภาพสูง และความคุ้มค่าเชิงโครงสร้าง
การที่กรุงเทพฯ ครองอันดับ 1 ของโลก ด้วยคะแนนรวม 91/100 กรุงเทพฯ เป็นตัวอย่างคลาสสิกของเมืองที่สามารถให้ “ผลตอบแทนต่อคุณภาพชีวิต” สูงกว่าต้นทุนที่จ่าย ค่าครองชีพเฉลี่ยสำหรับคนโสดราว 1,537 ดอลลาร์ต่อเดือน (หรือราวๆ 50,000 บาทต่อเดือน สำหรับการทำงานคนเดียว) ต่ำกว่าเมืองระดับโลกอย่างลอนดอน โตเกียว หรือดูไบหลายเท่าตัว แต่กลับมีโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการทำงานทางไกลได้อย่างเต็มรูปแบบ ทั้งอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ระบบขนส่งมวลชน Co-working Space และระบบบริการเมืองที่ครบวงจร เมืองนี้ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากกว่า 23 ล้านคนต่อปี และมีอัตราการกลับมาอยู่ซ้ำๆ 18%
ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีจำนวนเมืองยอดนิยมที่ติดอันดับ Top 100 Digital Nomad Destinations in 2025 มากที่สุด โดยมีถึง 7 เมือง ได้แก่ กรุงเทพฯ, นครราชสีมา, เกาะพงัน, เชียงใหม่, เกาะลันตา, ภูเก็ต และ กระบี่ ทั้งนี้ ประเทศไทยยังคงเป็นศูนย์กลางของชาว Nomad ในโลกดิจิทัล โดยมีวิถีชีวิตแบบประหยัด และชื่นชอบวัฒนธรรมชุมชนท้องถิ่นที่มีชีวิตชีวา
นครราชสีมา: เมืองรองที่ท้าทายกรอบคิดเดิมของการพัฒนาเมือง
การที่นครราชสีมาติดอันดับ 5 ของโลก ด้วยคะแนน 80/100 และมีค่าครองชีพต่ำที่สุดในกลุ่ม Top 10 คือสัญญาณเชิงโครงสร้างที่สำคัญ โคราชมีค่าครองชีพสำหรับคนโสดเพียง 1,062 ดอลลาร์ต่อเดือน (หรือราวๆ 34,500 บาทต่อเดือน) และสำหรับครอบครัวราว 1,100 ดอลลาร์ต่อเดือน (หรือราวๆ 35,700 บาทต่อเดือนเท่านั้น) ตัวเลขนี้สะท้อนศักยภาพของเมืองรองไทยในการเป็น “Digital Nomad Hub” โดยไม่จำเป็นต้องเป็นเมืองท่องเที่ยวหลักหรือเมืองหลวง
โคราชแสดงให้เห็นว่าการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การคมนาคม และบริการพื้นฐาน สามารถยกระดับเมืองรองให้เข้าสู่เวทีโลกได้ หากได้รับการต่อยอดอย่างเหมาะสม เมืองลักษณะนี้สามารถเป็นทางเลือกใหม่สำหรับ Nomad ที่ต้องการต้นทุนต่ำ ความสงบ และคุณภาพชีวิตที่มั่นคง ซึ่งในระยะยาวอาจช่วยลดแรงกดดันต่อเมืองหลวง และกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค
มาดูกันว่า 10 อันดับเมืองในฝันของเหล่า Digital Nomad ในปีนี้มีเมืองใดบ้าง พร้อมเหตุผลที่ทำให้พวกเขาเลือก “เชื่อมต่อชีวิต” จากมุมต่างๆ ของโลกเข้ากับชีวิตของพวกเขา
อันดับ 1 กรุงเทพฯ, ประเทศไทย (91/100)
กรุงเทพฯ ขึ้นแท่นเบอร์หนึ่งด้วยคุณสมบัติครบเครื่อง ทั้งค่าครองชีพที่เข้าถึงได้ ระบบขนส่งที่สะดวก อินเทอร์เน็ตเสถียร และวัฒนธรรมที่มีสีสัน ชาว Nomad ให้คะแนนสูงถึง 4.55 เต็ม 5
ค่าครองชีพ: คนโสดอยู่ที่ 1,537 ดอลลาร์/เดือน, ครอบครัวไม่เกิน 2,900 ดอลลาร์/เดือน
ความปลอดภัย: ระดับ “ดี” อัตรากลับมาอยู่ซ้ำ: 18%
ผู้มาเยือนต่อปี: 23 ล้านคน
แฮชแท็ก Instagram: กว่า 37.2 ล้านครั้ง
จุดแข็ง: มี co-working space หลากหลายตั้งแต่ตึกหรูใจกลางเมืองไปจนถึงคาเฟ่สวน บรรยากาศน่าอยู่ คุ้มค่าเกินราคา
อันดับ 2 ดูไบ, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (89/100)
ดูไบคือจุดหมายที่หรูหราและล้ำสมัย เหมาะกับสาย nomad ที่มองหาสภาพแวดล้อมปลอดภัย เทคโนโลยีระดับโลก และโอกาสเชื่อมต่อธุรกิจ
ค่าครองชีพ: คนโสด 3,156 ดอลลาร์/เดือน, ครอบครัว 8,000+ ดอลลาร์/เดือน
ความปลอดภัย: ระดับ “ดีเยี่ยม” อัตรากลับมาอยู่ซ้ำ: 16%
ผู้มาเยือนต่อปี: 16 ล้านคน
แฮชแท็ก Instagram: 167.2 ล้านครั้ง
จุดแข็ง: มีวีซ่าระยะยาวสำหรับ nomad, อินเทอร์เน็ตเร็ว มี co-working space หรูหราแบบปรับอากาศ และชุมชนระดับนานาชาติ
อันดับ 3 ลอนดอน, สหราชอาณาจักร (85/100)
แม้ค่าครองชีพจะแพง แต่ลอนดอนคือเมืองแห่งโอกาสสำหรับ nomad ที่ต้องการเชื่อมต่อเครือข่ายระดับโลกและใช้ชีวิตกลางเมืองศูนย์กลางวัฒนธรรม
ค่าครองชีพ: คนโสด 5,937 ดอลลาร์/เดือน, ครอบครัว 10,700+ ดอลลาร์ต่อเดือน
ความปลอดภัย: “ดีเยี่ยม” อัตรากลับมาอยู่ซ้ำ: 15%
ผู้มาเยือนต่อปี: 19.8 ล้านคน
แฮชแท็ก Instagram: สูงสุดในโลกที่ 190 ล้านครั้ง
จุดแข็ง: เหมาะกับสายครีเอทีฟ สตาร์ทอัป นักการเงิน และฟรีแลนซ์ที่มองหาโอกาสระดับโลก
อันดับ 4 โตเกียว, ญี่ปุ่น (81/100)
โตเกียวมอบประสบการณ์การใช้ชีวิตที่สมดุล ปลอดภัย สะอาด และเป็นระเบียบ เหมาะกับ nomad ที่ชอบประสิทธิภาพแบบญี่ปุ่น
ค่าครองชีพ: คนโสด 3,284 ดอลลาร์/เดือน, ครอบครัว 4,366 ดอลลาร์/เดือน
ความปลอดภัย/คุณภาพชีวิต: ระดับ “ดีเยี่ยม” อัตรากลับมาอยู่ซ้ำ: 17%
ผู้มาเยือนต่อปี: 20 ล้านคน
แฮชแท็ก Instagram: 16 ล้านครั้ง
จุดแข็ง: เหมาะกับนักพัฒนา นักวิชาการ ครีเอทีฟสายเงียบๆ ที่ต้องการโฟกัสกับงานในเมืองที่มีระเบียบ
อันดับ 5 นครราชสีมา (โคราช), ประเทศไทย (80/100)
เมืองรองอย่างโคราชกลับสร้างเซอร์ไพรส์ด้วยค่าครองชีพต่ำที่สุดในกลุ่ม Top 10 แต่ยังครบเครื่องเรื่องความปลอดภัยและคุณภาพชีวิต
ค่าครองชีพ: คนโสด 1,062 ดอลลาร์/เดือน, ครอบครัว 1,100 ดอลลาร์/เดือน
ความปลอดภัย: “ดีเยี่ยม” อัตรากลับมาอยู่ซ้ำ: 14%
ผู้มาเยือนต่อปี: เกือบ 10 ล้านคน
แฮชแท็ก Instagram: เพียง 82,000 ครั้ง
จุดแข็ง: เมืองน่าอยู่ ค่าครองชีพต่ำมาก เหมาะสำหรับคนที่อยากใช้ชีวิตเรียบง่ายในเมืองใหญ่ของไทย
อันดับ 6 โซล, เกาหลีใต้ (80/100)
โซลคือเมืองที่มีทั้งความทันสมัย ความปลอดภัย และวัฒนธรรมร่วมสมัย เหมาะกับ nomad ที่ต้องการความเร็วและความมั่นคง
ค่าครองชีพ: คนโสด 2,561 ดอลลาร์/เดือน, ครอบครัว 3,714 ดอลลาร์/เดือน
ความปลอดภัย: “ดีเยี่ยม” อัตรากลับมาอยู่ซ้ำ: 14%
ผู้มาเยือนต่อปี: 7.7 ล้านคน
ความนิยมบน Instagram: 27 ล้านครั้ง
จุดแข็ง: คนสายเทค สายดีไซน์ และครูสอนภาษา ที่ต้องการโครงสร้างพื้นฐานที่ครบพร้อม
อันดับ 7 ไทเป, ไต้หวัน (78/100)
เมืองเล็กที่กำลังมาแรงในกลุ่มชาว Nomad ไทเปให้ความรู้สึกปลอดภัย มีระบบขนส่งสะดวก และค่ารักษาพยาบาลถูก
ค่าครองชีพ: คนโสด 2,330 ดอลลาร์/เดือน, ครอบครัว 3,000+ ดอลลาร์/เดือน
ความปลอดภัย: “ดีเยี่ยม” อัตรากลับมาอยู่ซ้ำ: 14%
ผู้มาเยือนต่อปี: 9.3 ล้านคน
แฮชแท็ก Instagram: 20 ล้านครั้ง
จุดแข็ง: ความเรียบง่ายแต่ยังคงความสะดวกสบาย พร้อมความเป็นมิตรจากคนท้องถิ่น
อันดับ 8 บาร์เซโลนา, สเปน (78/100)
เมืองที่ผสมผสานการทำงานกับชีวิตสบายริมทะเลไว้ด้วยกัน บาร์เซโลนาเหมาะสำหรับคนที่รักศิลปะ อาหาร และแสงแดด
ค่าครองชีพ: คนโสด 5,509 ดอลลาร์/เดือน, ครอบครัว 6,000+ ดอลลาร์/เดือน
ความปลอดภัย: “ดีเยี่ยม” อัตรากลับมา: 15%
ผู้มาเยือนต่อปี: 7.6 ล้านคน
แฮชแท็ก Instagram: 78 ล้านครั้ง
จุดแข็ง: ไลฟ์สไตล์แบบยูโรปผสมความเป็นเมืองชายทะเล สนับสนุนผู้ประกอบการและฟรีแลนซ์สายครีเอทีฟ
อันดับ 9 บัวโนสไอเรส, อาร์เจนตินา (78/100)
เมืองหลวงสายละตินที่ให้ความรู้สึก cosmopolitan ในราคาประหยัด วัฒนธรรมแน่น และมีชีวิตกลางคืนคึกคัก
ค่าครองชีพ: คนโสด 1,600 ดอลลาร์/เดือน, ครอบครัว 1,725 ดอลลาร์/เดือน
ความปลอดภัย: “โอเค” อัตรากลับมาอยู่ซ้ำ: 18%
ผู้มาเยือนต่อปี: 2.2 ล้านคน
แฮชแท็ก Instagram: 29 ล้านครั้ง
จุดแข็ง: ดนตรีดีเยี่ยม อาหาร และไลฟ์สไตล์ละตินที่ยังคงราคาย่อมเยา
อันดับ 10 ทบิลิซี, จอร์เจีย (77/100)
เมืองสุดคุ้มสำหรับสาย budget ที่ยังอยากได้คุณภาพชีวิตดี วีซ่าอยู่ยาว และไวน์ถูกกว่ากาแฟ!
ค่าครองชีพ: คนโสด 2,120 ดอลลาร์/เดือน, ครอบครัว 3,500 ดอลลาร์/เดือน
ความปลอดภัย: “ดี” อัตรากลับมาอยู่ซ้ำ: 17%
ผู้มาเยือนต่อปี: 2.5 ล้านคน
แฮชแท็ก Instagram: 4.1 ล้านครั้ง
จุดแข็ง: คาเฟ่ co-working space, วิวเทือกเขาคอเคซัสให้แรงบันดาลใจไม่รู้จบ
เมื่อพิจารณา Top 10 ทั้งหมด จะเห็นว่าไทยเป็นประเทศเดียวที่มีทั้ง “เมืองหลวงระดับโลก” อย่างกรุงเทพฯ และ “เมืองรองต้นทุนต่ำ” อย่างนครราชสีมา ติดอันดับพร้อมกัน นี่คือข้อได้เปรียบเชิงโครงสร้างที่หาได้ยาก หากภาครัฐสามารถต่อยอดด้วยนโยบายสนับสนุน Digital Nomad อย่างจริงจัง ไทยอาจไม่เพียงเป็นปลายทางยอดนิยม แต่ก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางแรงงานดิจิทัลระดับโลกอย่างยั่งยืน
ในโลกที่แรงงานสามารถเลือกเมืองได้ เมืองที่ชนะไม่ใช่เมืองที่แพงที่สุด แต่คือเมืองที่ “ให้คุณค่ามากที่สุดต่อชีวิต” และปี 2025 คือปีที่กรุงเทพฯ และนครราชสีมา พิสูจน์ตัวเองบนเวทีโลกอย่างชัดเจน
อ้างอิงจาก:
– กรุงเทพธุรกิจ
ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่
https://linktr.ee/isan.insight
#ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #กรุงเทพ #นครราชสีมา #มืองยอดนิยมของคนทำงานยุคใหม่สายเทคโนโลยี #DigitalNomad #เมืองที่ดีที่สุด

