ฮู้บ่ว่า? จากหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ ใน 40 ปีก่อน “เซินเจิ้น” ได้กลายเป็นมหานครเทคโนโลยี และนวรรตกรรมที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจีน ให้ทะยานขึ้นไปในระดับโลก
.
เป็นเมืองหลักที่อยู่ทางตะวันออกของชะวากทะเลแม่น้ำจูในมณฑลกวางตุ้งตอนใต้ สาธารณรัฐประชาชนจีน มีอาณาเขตทางใต้ติดกับฮ่องกง ตะวันออกเฉียงเหนือติดกับฮุ่ยโจว ตะวันตกเฉียงเหนือติดกับตงกว่าน และทางตะวันตกและตะวันตกเฉียงใต้ติดกับกว่างโจว จงชาน และจูไห่ ซึ่งเป็นอีกฝั่งของชะวากทะเล โดยใช้เขตแดนทางทะเลเป็นตัวแบ่งอาณาเขต ด้วยจำนวนประชากร 17.5 ล้านคนใน ค.ศ. 2020 ทำให้เชินเจิ้นเป็นเมืองที่มีประชากรมากเป็นอันดับสาม (วัดตามจำนวนประชากรในเขตเมือง) ของประเทศจีน รองจากเซี่ยงไฮ้และปักกิ่ง ท่าเรือเซินเจิ้นยังเป็นท่าเรือคอนเทนเนอร์ที่พลุกพล่านมากเป็นอันดับ 4 ของโลก
จากชุมชนเล็ก ๆ ริมชายฝั่งทางตอนใต้ของจีน ที่ผู้คนส่วนใหญ่มีอาชีพประมงและ GDP ทั้งเมืองมีเพียง 270 ล้านหยวน เซินเจิ้นได้รับการพลิกโฉมครั้งใหญ่เมื่อปี 1980 ด้วยการประกาศให้เป็น “เขตเศรษฐกิจพิเศษแห่งแรกของประเทศจีน”
การเปลี่ยนแปลงครั้งนั้น เปรียบเสมือนจุดเริ่มต้นของพายุแห่งการพัฒนา จากแรงผลักดันของรัฐบาลที่ต้องการเปิดเมืองรับการลงทุนจากต่างชาติ ส่งผลให้เงินทุน และเทคโนโลยีการผลิตสมัยใหม่หลั่งไหลเข้าสู่เมืองชายฝั่งเล็ก ๆ แห่งนี้ จากข้อได้เปรียบด้านต้นทุนแรงงานที่มีราคาถูก และวิสัยทัศน์ที่ต้องการเรียนรู้องค์ความรู้และนวรรตกรรมจากต่างชาติ ทำให้ในเวลาไม่นาน เซินเจิ้นก็กลายเป็นหนึ่งในแหล่งอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ
เซินเจิ้น (Shēnzhèn) ที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว กลายเป็นศูนย์กลางการผลิตและกระจายสินค้าไปทั่วโลก และด้วยการผลิตที่เน้น “ปริมาณมาก ต้นทุนต่ำ” ทำให้สินค้าที่ผลิตในเมืองเซินเจิ้นมีความสามารถในการแข่งขันได้ในระดับโลก แต่ในขณะเดียวกัน นั่นทำให้เซินเจิ้นในยุคหนึ่งถูกมองว่าเป็น “เมืองแห่งสินค้าก็อปปี้” ที่เน้นปริมาณและราคามากกว่าคุณภาพ
การเติบโตของภาคอุตสาหกรรม การเป็นศูนย์กลางการลงทุนด้านเทคโนโลยีของจีน รวมถึงแรงสะสมขององค์ความรู้ด้านเทคนิค แรงงานฝีมือ และโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการผลิต ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนเซินเจิ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อภาครัฐหันมาให้ความสำคัญกับการส่งเสริมนวัตกรรมผ่านการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา (R&D) การส่งเสริมสตาร์ทอัพ และการให้ทุนแก่ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ส่งผลให้.ในปัจจุบัน เซินเจิ้นเปลี่ยนภาพลักษณ์จาก “เมืองแห่งสินค้าก็อปปี้” สู่การเป็นหนึ่งในเมืองที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก และก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมและเทคโนโลยี หรือที่หลายคนขนานนามว่า “Silicon Valley แห่งเอเชีย” ซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่มากมาย
.
ในปัจจุบัน เศรษฐกิจของเซินเจิ้นยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยประมาณ 8.35% ต่อปี นับตั้งแต่ปี 2013 จนถึงปัจจุบัน มูลค่า GDP ล่าสุดของเมืองอยู่ที่ประมาณ 3.68 ล้านล้านหยวน หรือราว 514.97 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (อ้างอิงอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 25 พฤษภาคม 2025) ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใกล้เคียงกับประเทศขนาดกลางอย่างประเทศไทย
รายได้เฉลี่ยต่อหัวของประชากรในเมืองเซินเจิ้นอยู่ที่ประมาณ 1แสน 9 หมื่นหยวน หรือราวๆ 900,989 บาท ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศจีนอย่างมีนัยสำคัญ ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนถึงศักยภาพทางเศรษฐกิจที่โดดเด่นของเซินเจิ้น รวมถึงความก้าวหน้าทางการพัฒนาเมืองในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา อีกทั้งยังตอกย้ำบทบาทของเซินเจิ้นในฐานะกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจจีน สู่การเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความก้าวหน้าทางอุตสาหกรรมและนวัตกรรมมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยเป็นฐานการผลิตและศูนย์วิจัยและพัฒนาที่สำคัญของสินค้าด้านเทคโนโลยี อาทิ โทรศัพท์มือถือ สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต โดรน เครื่องใช้ไฟฟ้า ชิปเซ็ตประมวลผล และคอมพิวเตอร์ ที่เป็นสินค้าที่มีความต้องการสูงโดยเฉพาะในปัจจุบันที่โลกกำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ นอกจากนี้เมืองนี้มีจำนวนบริษัทเทคโนโลยีขั้นสูงมากกว่า 16,900 แห่ง เป็นอันดับสองของประเทศจีน รองจากกรุงปักกิ่ง โดยมีบริษัทชั้นนำระดับโลกตั้งอยู่ที่นี่ เช่น Huawei, ZTE, Tencent, DJI และ UBTECH ซึ่งล้วนเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมในระดับสากล
นอกจากนี้ เซินเจิ้นยังมีข้อได้เปรียบด้านทำเลที่ตั้งในฐานะศูนย์กลางการกระจายสินค้า ทำให้สามารถส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยท่าเรือเซินเจิ้นถือเป็นหนึ่งในท่าเรือสำคัญของโลก มีปริมาณการขนส่งสินค้าสูงเป็นอันดับสาม รองจากท่าเรือเซี่ยงไฮ้และสิงคโปร์
แม้เซินเจิ้นจะเป็นศูนย์กลางการผลิตสินค้าที่สำคัญ โดยเฉพาะในภาคเทคโนโลยีที่มีการผลิตในปริมาณมากและการส่งออกสูงที่สูง โดยเฉพาะในตลาดสหรัฐอเมริกา แต่อาจทำให้เมืองต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ซึ่งแม้ว่าจะมีความพยายามในการเจรจาเพื่อลดแรงกดดัน แต่การกลับมาของนโยบายกีดกันทางการค้าภายใต้รัฐบาล “ทรัมป์ 2.0” โดยเฉพาะการขึ้นกำแพงภาษี อาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของเซินเจิ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ผลกระทบจากต้นทุนการส่งออกที่เพิ่มขึ้นอาจผลักดันให้อุปทานของสินค้าที่ผลิตออกมาในปริมาณมากไม่มีที่ระบาย ขณะเดียวกันนโยบายของสหรัฐฯ ที่มุ่งส่งเสริมการย้ายฐานการผลิตกลับประเทศ (reshoring) ยังอาจเร่งให้เกิดการชะลอตัวของกระแสการค้าโลก ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องมายังเศรษฐกิจของเซินเจิ้นโดยตรง
นอกจากนี้ เซินเจิ้นยังเผชิญกับความเสี่ยงภายในประเทศจากวิกฤตในภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนที่ยังคงไม่มีทิศทางฟื้นตัวชัดเจน รวมถึงภาระหนี้สาธารณะของรัฐบาลท้องถิ่นที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งอาจกลายเป็นข้อจำกัดสำคัญต่อการฟื้นตัวและการเติบโตในระยะยาว ทั้งนี้ ภาครัฐฯ อาจจำเป็นต้องเร่งหาแนวทางเพื่อรับมือกับปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาบทบาทของตนในฐานะกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเท
อย่างไรก็ตาม เส้นทางการพัฒนาของเมืองเซินเจิ้น จากหมู่บ้านชาวประมง เมืองแห่งสินค้าลอกเลียนแบบ สู่การเป็นมหานครด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมระดับโลก ยังคงเป็นต้นแบบที่มีคุณค่าสำหรับการปรับใช้ในบริบทของไทย โดยเฉพาะในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกัน ทั้งในแง่ของการเป็นแหล่งอุตสาหกรรมหลักของประเทศ และมีจุดแข็งด้านภูมิศาสตร์ที่เหมาะสมต่อการเชื่อมโยงการค้าและโลจิสติกส์ระหว่างประเทศ อีกทั้งยังเป็นจุดหมายสำคัญของการลงทุนจากต่างชาติ
นอกจากนี้ พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะเขตเศรษฐกิจใหม่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (NeEC) ก็มีศักยภาพในการพัฒนาเช่นกัน ด้วยทำเลที่ตั้งซึ่งสามารถเชื่อมโยงกับกลุ่มประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) ผ่านโครงข่ายคมนาคมสำคัญอย่างโครงการรถไฟลาว–จีน ที่จะเชื่อมต่อจากหนองคายสู่กรุงเทพฯ และนครศรีธรรมราช โครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้อาจกลายเป็นปัจจัยเร่งการเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคต ทั้งในด้านการค้า การลงทุน อุตสาหกรรม และนวัตกรรม หากมีการบริหารจัดการและวางนโยบายพัฒนาอย่างมีแบบแผน โดยอาศัยบทเรียนจากกรณีศึกษาของเซินเจิ้นเป็นแนวทางปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของไทย
ไทยจะพัฒนาเมืองหลักของไทยให้เป็นเสมือน Silicon Valley แห่งอาเซียน ได้ต้องเสริมแกร่ง และ ทลายข้อจำกัดอีหลายอย่าง
การจะพัฒนาเมืองหลักในประเทศไทยให้มีศักยภาพเทียบเท่าหรือใกล้เคียงกับเซินเจิ้นได้นั้น ต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างและนโยบายที่สำคัญหลายด้าน โดยเฉพาะการรื้อถอนข้อจำกัดที่ขัดขวางการเติบโตทางเศรษฐกิจและนวัตกรรม นี่คือสิ่งที่ประเทศไทยควรพิจารณา:
1. การส่งเสริมเขตเศรษฐกิจพิเศษอย่างจริงจังและครอบคลุม
เซินเจิ้นประสบความสำเร็จอย่างมากจากการเป็น “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” แห่งแรกของจีน ซึ่งได้รับอำนาจและสิทธิพิเศษในการบริหารจัดการอย่างเบ็ดเสร็จ มีนโยบายที่เอื้อต่อการลงทุนอย่างมาก เช่น:
- ยกเว้นภาษีและลดหย่อนภาษี: เซินเจิ้นมีการยกเว้นภาษี ลดอากรศุลกากร และลดราคาที่ดินเพื่อดึงดูดการลงทุน
- ความยืดหยุ่นทางกฎหมาย: ได้รับอนุญาตให้พัฒนาและทดลองใช้กฎหมายของตนเอง
- การส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติ: มีนโยบายที่เอื้อประโยชน์แก่นักลงทุนต่างชาติมากกว่าคนในประเทศในบางกรณี เช่น การเช่าที่ดินระยะยาว และสิทธิประโยชน์ในการเข้าออกของบุคลากรต่างชาติ
- One-stop Service: มีระบบการให้บริการแบบเบ็ดเสร็จที่ช่วยอำนวยความสะดวกแก่นักลงทุน
สิ่งที่ประเทศไทยควรทำ:
- ขยายและปรับปรุงเขตเศรษฐกิจพิเศษ: แม้ไทยจะมีเขตเศรษฐกิจพิเศษอยู่บ้าง เช่น EEC แต่ต้องทำให้มีสิทธิประโยชน์ที่ดึงดูดและมีความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการมากขึ้น ให้ผู้บริหารในพื้นที่ (เช่น ผู้ว่าราชการจังหวัด/เมือง หรือหน่วยงานเฉพาะ) มีอำนาจตัดสินใจและดำเนินการได้รวดเร็วกว่าการรอส่วนกลาง
- ยกเว้น/ลดหย่อนภาษีอย่างจริงจัง: พิจารณายกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล (อาจจะนานกว่า 13 ปีในบางกรณี) ยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรและวัตถุดิบเพื่อการวิจัยและพัฒนา หรือการผลิตเพื่อส่งออกให้ครอบคลุมและดึงดูดมากยิ่งขึ้น
- แก้ไขกฎหมายที่จำกัดการลงทุนต่างชาติ: โดยเฉพาะกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการถือครองที่ดินของต่างชาติ การถือหุ้นของต่างชาติในบางธุรกิจ และการอนุญาตทำงานของผู้เชี่ยวชาญชาวต่างชาติ ให้มีความยืดหยุ่นและคล่องตัวมากขึ้น เพื่อดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถเข้ามาทำงานและลงทุนในไทย
- สร้างความต่อเนื่องทางนโยบาย: นโยบายที่เปลี่ยนไปตามรัฐบาลทำให้นักลงทุนขาดความมั่นใจ ควรมีแผนระยะยาวที่ชัดเจนและได้รับการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน
2. พัฒนาระบบนิเวศนวัตกรรมและเทคโนโลยี
เซินเจิ้นเป็น “Silicon Valley of China” เพราะมีระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเกิดและเติบโตของบริษัทเทคโนโลยี
สิ่งที่ประเทศไทยควรทำ:
- ลงทุนในการวิจัยและพัฒนา (R&D): เพิ่มงบประมาณการลงทุนใน R&D ทั้งภาครัฐและเอกชนอย่างมหาศาล และส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัย สถาบันวิจัย และภาคเอกชน
- ส่งเสริมการศึกษา STEM และบุคลากร: พัฒนาหลักสูตรการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ ตั้งแต่ระดับประถมจนถึงอุดมศึกษา และดึงดูดนักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศเข้ามาทำงานในไทย
- สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อสตาร์ทอัพ: ลดขั้นตอนและกฎระเบียบที่ยุ่งยากในการจัดตั้งและดำเนินธุรกิจสตาร์ทอัพ สนับสนุนเงินทุน (Venture Capital) และกลไกการบ่มเพาะ (Incubator/Accelerator)
- ส่งเสริมทรัพย์สินทางปัญญา: สร้างระบบการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาที่เข้มแข็งและมีประสิทธิภาพ เพื่อให้นักลงทุนและนักพัฒนาเกิดความมั่นใจในการสร้างสรรค์นวัตกรรม
- ส่งเสริมการผลิตแบบครบวงจร: เซินเจิ้นไม่ได้เป็นแค่ศูนย์กลางการออกแบบ แต่ยังเป็นฐานการผลิตที่สามารถนำไอเดียไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์จริงได้อย่างรวดเร็ว ไทยต้องพัฒนาศักยภาพด้านการผลิตที่มีเทคโนโลยีสูง (High-tech Manufacturing)
3. การปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่ล้าสมัย
ข้อจำกัดทางกฎหมายหลายอย่างในไทยยังคงเป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจและการลงทุน
สิ่งที่ประเทศไทยควรทำ:
- พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (FBA): ทบทวนและแก้ไขบัญชีธุรกิจต้องห้าม หรือธุรกิจที่ต้องขออนุญาตสำหรับคนต่างด้าว ให้มีความทันสมัยและสอดคล้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจยุคใหม่ เพื่อเปิดโอกาสให้ธุรกิจต่างชาติเข้ามาลงทุนในสาขาที่ไทยต้องการพัฒนา เช่น เทคโนโลยีขั้นสูง
- กฎหมายเกี่ยวกับการเข้า-ออกของบุคลากรต่างชาติ: ทำให้การขอวีซ่า การขอใบอนุญาตทำงาน และการพำนักในประเทศไทยของบุคลากรต่างชาติที่มีความสามารถสูงมีความรวดเร็วและง่ายดายขึ้น (เช่น การขยาย LTR Visa ให้ครอบคลุมมากขึ้น)
- ความโปร่งใสและลดขั้นตอนราชการ: ปรับปรุงระบบราชการให้โปร่งใส ลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็น ลดช่องทางในการทุจริต และเพิ่มความรวดเร็วในการอนุมัติอนุญาตต่างๆ
- กฎหมายที่เกี่ยวกับ Data และ Digital Economy: พัฒนากฎหมายที่เกี่ยวกับข้อมูล (Data Governance) และเศรษฐกิจดิจิทัลให้ทันสมัย เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมเทคโนโลยี
4. การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและเมืองอัจฉริยะ
เซินเจิ้นมีการวางผังเมืองและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย
สิ่งที่ประเทศไทยควรทำ:
- โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล: ลงทุนในโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (5G, Fiber Optic) และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลอื่นๆ ที่จำเป็นต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมเทคโนโลยี
- ระบบขนส่งมวลชน: พัฒนาระบบขนส่งมวลชนในเมืองใหญ่ให้เชื่อมโยงและมีประสิทธิภาพ เพื่อลดปัญหาการจราจรและเพิ่มความสะดวกสบายในการเดินทาง
- เมืองอัจฉริยะ (Smart City): พัฒนาเมืองหลักให้เป็น Smart City โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาบริหารจัดการเมืองในด้านต่างๆ เช่น การจราจร พลังงาน สิ่งแวดล้อม และความปลอดภัย
- คุณภาพชีวิต: พัฒนาคุณภาพชีวิตในเมือง ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สาธารณสุข การศึกษา และความบันเทิง เพื่อดึงดูดผู้คนที่มีความสามารถและครอบครัวเข้ามาอยู่อาศัย
5. การสร้างความร่วมมือและภาพลักษณ์
- ความร่วมมือกับนานาชาติ: สร้างความร่วมมือกับมหาวิทยาลัย บริษัท และศูนย์วิจัยชั้นนำของโลก เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และเทคโนโลยี
- การสร้างแบรนด์เมือง: โปรโมทเมืองหลักของไทยให้เป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีและนวัตกรรมในภูมิภาค เช่นเดียวกับที่เซินเจิ้นสร้างแบรนด์ของตนเอง
การพัฒนาเมืองให้เป็นเหมือนเซินเจิ้นไม่ใช่เรื่องง่ายและต้องใช้เวลา แต่หากประเทศไทยสามารถรื้อถอนข้อจำกัดสำคัญเหล่านี้และมุ่งเน้นการสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อเทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่างแท้จริง ก็มีโอกาสที่จะยกระดับเมืองหลักให้กลายเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีที่สำคัญในภูมิภาคได้ แต่จะสำเร็จหรือไม่นั้น นี้จะยังคงเป็นคำถามต่อผู้วางนโยบาย และ ประชาชนชาวไทยที่ต้องเลือกผู้บริหารประเทศต่อไป
ที่มา:
- เมืองเซินเจิ้นจัดสรรงบประมาณกว่าปีละ 188,049 ล้านหยวน เพื่อการวิจัยและพัฒนา, Thaibizchina
- Shenzhen : Silicon Valley แห่งแดนมังกร ,CEIC
- “Top 10 Chinese cities by urban resident population | investinchina.chinadaily.com.cn”. investinchina.chinadaily.com.cn.
- ↑ Roberts, Toby; Williams, Ian; Preston, John (2021-05-19). “The Southampton system: a new universal standard approach for port-city classification”. Maritime Policy & Management (ภาษาอังกฤษ). 48 (4): 530–542.