ยอดรถจดทะเบียนภาคอีสานยังซบเซาตลอดปี 67

แผนที่ประเทศ กรุงเทพฯ ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคอีสาน ภาคเหนือ ภาคตะวันตก ภาคใต้
รถยนต์ส่วนบุคคล 289,196 14,329 36,687 57,840 50,315 16,831 43,893
% การเปลี่ยนแปลงเที่ยบกับปี 2566 -19.0% -28.6% -31.6% -24.8% -22.6% -21.1% -25.9%
รถจักรยานยนต์ 464,876 83,447 235,087 434,642 258,919 124,723 298,117
% การเปลี่ยนแปลงเที่ยบกับปี 2566 -8.1% -9.2% -12.0% -8.6% -6.4% -16.4% -0.3%

 

จังหวัดอีสาน รถยนต์ส่วนบุคคล % การเปลี่ยนแปลงเที่ยบกับปี 2566 รถจักรยานยนต์ % การเปลี่ยนแปลงเที่ยบกับปี 2566
ชัยภูมิ 1,928 -24.5% 14,908 -5.6%
ยโสธร 1,013 -24.5% 9,056 -9.1%
อุบลราชธานี 5,964 -24.4% 31,129 -6.8%
ศรีสะเกษ 1,625 -28.4% 16,565 -8.7%
บุรีรัมย์ 2,254 -32.4% 30,565 -22.5%
นครราชสีมา 11,849 -20.7% 43,436 -10.4%
สุรินทร์ 1,719 -26.1% 27,576 -3.3%
อำนาจเจริญ 735 -8.6% 5,495 -5.4%
หนองบัวลำภู 1,075 -23.9% 9,630 -16.7%
บึงกาฬ 733 -20.8% 8,905 -12.2%
หนองคาย 1,066 -33.7% 11,845 -7.3%
เลย 1,489 -28.9% 16,250 16.4%
อุดรธานี 6,214 -26.8% 41,532 -14.2%
นครพนม 1,327 -18.4% 9,276 -4.8%
สกลนคร 1,977 -27.9% 34,869 -4.5%
ขอนแก่น 9,644 -27.2% 44,658 -8.9%
กาฬสินธุ์ 1,674 -22.7% 17,481 -8.5%
มหาสารคาม 1,931 -25.5% 28,530 -4.9%
ร้อยเอ็ด 2,493 -22.6% 23,381 -5.6%
มุกดาหาร 1,130 -16.9% 9,555 -4.4%

ประเภทของรถยนต์ที่มีการจดทะเบียนใหม่มากที่สุด

  • ICE (น้ำมัน) 42,784 ลดลง -34.4%
  • Hybrid (ไฮบริด) 10,020 เพิ่มขึ้น 62.6%
  • BEV (ไฟฟ้า) 5,030 ลดลง -9.5%

 

แบรนด์รถยนต์ที่มีการจดทะเบียนใหม่ในอีสานสูงที่สุด 5 อันดับแรก

  1. TOYOTA 17,992 คัน
  2. ISUZU 6,473 คัน
  3. HONDA 4,802 คัน
  4. FORD 2,149 คัน
  5. BYD 2,061 คัน

 

ยอดรถจดทะเบียนใหม่ในภาคอีสานยังคงชะลอตัวต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปี 2565 จนถึงปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม ในช่วงสิ้นปี 2567 ยอดจดทะเบียนรถจักรยานยนต์และรถกระบะเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวเล็กน้อย เป็นผลมาจากปรากฏการณ์ La Niña ที่ช่วยส่งเสริมภาคการเกษตร โดยเฉพาะในช่วงสิ้นปีที่เป็นช่วงเก็บเกี่ยวข้าวนาปีและอ้อย ส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นและสามารถใช้จ่ายในกลุ่มสินค้าคงทนมากขึ้น เช่น รถจักรยานยนต์และรถกระบะ อย่างไรก็ตาม ยอดจดทะเบียนรถยนต์นั่งส่วนบุคคลยังคงไม่ฟื้นตัว สะท้อนถึงกำลังซื้อที่ยังจำกัด

ปัญหาการจดทะเบียนรถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่ลดลงนั้น ส่วนหนึ่งเกิดจากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ยังคงอ่อนแอ เป็นผลมาจากค่าครองชีพที่สูงและสัดส่วนหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ธนาคารและสถาบันการเงินมีความเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อมากขึ้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ไม่ได้ส่งผลเสียเฉพาะต่อผู้บริโภคเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตรถยนต์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ในภาพรวมของอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้รายงานสถานการณ์ของภาคการผลิตเป็นระยะ โดยหนึ่งในประเด็นสำคัญคือการปรับลดเป้าหมายกำลังการผลิตเหลือเพียง 1.5 ล้านคันภายในปี 2567 อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลในปีที่ผ่านมา พบว่ากำลังการผลิตที่ตั้งเป้าไว้แม้จะมีการปรับลดลงมาแต่ก็ยังไม่สามารถทำให้ถึงยอดได้ ผลจากกำลังซื้อภายในประเทศที่ชะลอตัวและความไม่แน่นอนในเศรษฐกิจโลก นอกจากนี้ ในปี 2568 กำลังการผลิตยานยนต์ของไทยมีแนวโน้มที่จะเผชิญกับความท้าทายที่รุนแรงยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกามีการเปลี่ยนแปลงประธานาธิบดีเป็นโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งนำมาสู่การใช้มาตรการภาษีศุลกากรที่เข้มงวดอีกครั้ง ไทยเคยได้รับผลกระทบจากมาตรการดังกล่าวในช่วงการดำรงตำแหน่งครั้งแรกของทรัมป์ และการกลับมาครั้งนี้คาดว่าจะสร้างแรงกดดันต่อภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยมากกว่าที่ผ่านมา

เมื่อพิจารณาภาพรวมการจดทะเบียนรถใหม่ทั่วประเทศ พบว่ามีแนวโน้มลดลงอย่างชัดเจน โดยในปี 2567 การจดทะเบียนรถยนต์ส่วนบุคคลใหม่ทั่วประเทศลดลงจาก 653,528 คันในปี 2566 เหลือเพียง 509,091 คัน คิดเป็นการลดลง -22.1% สำหรับรถจักรยานยนต์ การจดทะเบียนใหม่ก็ลดลงจาก 2,065,021 คันในปี 2566 เหลือ 1,899,811 คันในปี 2567 ลดลง -8.0% แม้ว่าภาคอีสานจะไม่ได้เป็นพื้นที่ที่มีการลดลงสูงสุดเมื่อเทียบกับภาคอื่น ๆ แต่การจดทะเบียนรถใหม่ในภาคนี้ยังคงลดลงมากกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งประเทศ สะท้อนถึงการชะลอตัวทางเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบต่อการบริโภคสินค้าคงทนของประชาชน

เมื่อพิจารณาปัจจัยลบภาพรวมภายในประเทศ จะพบว่าไม่ใช่เพียงภาคอีสานเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบจากยอดจดทะเบียนรถใหม่ที่ลดลง แต่ปัญหานี้ได้เกิดขึ้นทั่วประเทศ นอกจากกำลังซื้อที่อ่อนแอจากค่าครองชีพและสัดส่วนหนี้ครัวเรือนที่ยังสูง รายงานจากธนาคารแห่งประเทศไทยยังระบุถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป โดยมีการชะลอการซื้อรถยนต์คันใหม่และหันมาใช้รถยนต์คันเดิมให้นานขึ้น รวมถึงให้ความสำคัญกับการซ่อมบำรุงมากขึ้น อีกทั้ง ผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยเลือกใช้บริการเรียกรถผ่านแอปพลิเคชัน เพื่อหลีกเลี่ยงการเพิ่มภาระหนี้สินจากการซื้อรถ การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงความระมัดระวังในการใช้จ่ายเพื่อไม่ให้เกิดหนี้โดยไม่จำเป็น และความพยายามลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว นอกจากนี้ การชะลอการซื้อรถยังเกิดจากการรอดูสถานการณ์ราคาของรถยนต์ไฟฟ้าที่มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ผู้บริโภคบางส่วนจึงเลือกที่จะรอดูทิศทางของตลาดก่อนตัดสินใจซื้อรถใหม่ ซึ่งเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่กดดันยอดขายรถยนต์ในปัจจุบัน

หนึ่งในเทรนด์ที่ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา คือรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) ซึ่งได้รับแรงหนุนจากทั้งกระแสการรักสิ่งแวดล้อมและราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ผู้บริโภคเริ่มมองหาทางเลือกที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว รถยนต์ไฟฟ้าจึงกลายเป็นคำตอบสำหรับหลายคน โดยสัดส่วนการจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผู้บริโภคชาวไทยจะเปิดใจให้กับรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น แต่ยังมีข้อกังวลหลายอย่าง เช่น ระยะเวลาในการชาร์จไฟ ระยะทางวิ่งสูงสุดต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ความปลอดภัยของแบตเตอรี่ ตลอดจนความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน เช่น สถานีชาร์จไฟฟ้าและบริการหลังการขายที่ครอบคลุมและเชื่อถือได้ ปัจจัยเหล่านี้ยังคงเป็นข้อสังเกตุที่ทำให้ผู้บริโภคบางกลุ่มยังคงชะลอสินใจเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า

เมื่อหันมาดูการเลือกใช้รถยนต์ของผู้บริโภคในภาคอีสาน จะพบว่าพฤติกรรมการซื้อรถยนต์ไม่ได้สอดคล้องกับแนวโน้มทั่วไปที่ชี้ว่าการบริโภครถยนต์ไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้น ในทางกลับกัน ยอดการซื้อทั้งรถยนต์น้ำมันและรถยนต์ไฟฟ้ากลับลดลง แต่รถยนต์ไฮบริดกลับมีสัดส่วนการเติบโตที่สูงขึ้นอย่างชัดเจน ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของรถยนต์ไฮบริดในภาคอีสาน อาจมาจากความกังวลที่ยังคงมีต่อรถยนต์ไฟฟ้า ขณะที่รถยนต์ไฮบริดสามารถตอบโจทย์ได้ในเรื่องการประหยัดพลังงานและลดค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงน้ำมันได้ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องสถานีชาร์จไฟฟ้าแบบรถยนต์ไฟฟ้า จึงกลายเป็นตัวเลือกที่ผู้บริโภคในภาคอีสานให้ความไว้วางใจมากกว่าในปัจจุบัน

 

ที่มา กรมการขนส่งทางบก, สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, ธนาคารแห่งประเทศไทย, ธนาคารกรุงศรีอยุธยา

Leave a Comment

Your email address will not be published.

Scroll to Top