นครพนม จากเมืองท่าริมโขง สู่การเป็นศูนย์กลางการขนส่งแห่งอีสานตอนบน

“นครพนม” จังหวัดริมฝั่งโขงแห่งภาคอีสานตอนบนของประเทศไทยที่มีประวัติศาสตร์อย่างยาวนาน ที่เมื่อพูดถึง หลายคนจะนึกถึง “พระธาตุพนม” พระธาตุคู่บ้านคู่เมืองอันเก่าแก่ตั้งแต่ต้นพุทธกาลอันเป็นที่สักการะของคนในจังหวัดและทั้งประเทศ นอกจากพระธาตุพนมอันศักดิ์สิทธิ์แล้วนั้น ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกหลายที่ที่ควรค่าแก่การไปเยือนเมื่อไปจังหวัดนครพนม ยกตัวอย่างเช่น พระธาตุเรณู อีกหนึ่งพระธาตุคู่บ้านคู่เมืองที่งดงามโดดเด่น ตั้งอยู่ที่อำเภอเรณูนคร หรือจะเป็นสถานที่แลนด์มาร์ก อย่างริมฝั่งโขง ที่มีบรรยากาศและวิวทิวทัศน์ของแม่น้ำโขงและทิวเขาลักษณะลูกคลื่นของฝั่งลาวทอดยาวสุดสายตา ควรค่าแก่การมาเดินเล่นรับแดดอ่อนๆยามเช้า หรือมาถ่ายรูปชมวิวยามเย็นก็สวยงาม

 

ในด้านเศรษฐกิจ ปี 2566 นครพนมมีรายได้ต่อหัวประมาณ 96,731 บาท และผลิตภัณฑ์มวลรวมของจังหวัด (GPP) มีมูลค่า  52,184 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปี 2564 ประมาณ 3% โดยสัดส่วนของโครงสร้างเศรษฐกิจจะมีภาคบริการเป็นส่วนใหญ่ โดยมีโครงสร้างเป็นดังนี้

– ภาคการบริการ คิดเป็น 49% 

– ภาคการเกษตร คิดเป็น 30% 

– ภาคการค้า คิดเป็น 12% 

– ภาคการผลิต คิดเป็น 9% 

 

ในปี 2567 จังหวัดนครพนมมีจำนวนผู้ประกอบการ SME ทั้งสิ้น 25,000 ราย ซึ่งในปี 2566 มีรายได้รวมทั้งสิ้น 35,580.83 ล้านบาท โดยตัวอย่างบริษัทใหญ่ในนครพนม เช่น บริษัท มิ่งเจียว ซึ่งอยู่ในหมวดธุรกิจการขายส่งผลิตภัณฑ์อาหารอื่นๆซึ่งมิได้จัดประเภทไว้ในที่อื่น มีรายได้รวมในปี 2565 จำนวน 1,582 ล้านบาท

เมืองนครพนมยังเป็นที่ตั้งของสะพานมิตรภาพแห่งที่ 3 โดยเชื่อมต่อกับแขวงคำม่วนของประเทศลาว มีความยาวรวม 780 เมตร มีช่องลอดกว้าง 60 เมตร สูง 10 เมตร 2 ช่วง ความกว้าง สะพาน 13 เมตร และมีการช่องจราจร 2 ช่อง ซึ่งเปิดใช้งานวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 โดยสะพานมีทิวทัศน์เป็นแนวเขาที่สวยงาม ซึ่งสะพานมิตรภาพ แห่งที่3 เป็นเส้นทางการคมนาคมด้านการท่องเที่ยวและด้านการค้าที่สำคัญ ระหว่างไทย เวียดนามและทางใต้ของจีน 

 

โดยสะพานมิตรภาพแห่งที่ 3 เป็น 1 ใน 19 ด่านการค้าถาวรระหว่างไทยกับลาว และอีกด่านการค้าถาวรของนครพนมคือ ด่าน อ.เมืองนครพนม-ท่าแขก นอกจากนั้นจังหวัดยังมีจุดผ่อนปรนการค้าอีก 4 แห่ง ได้แก่ จุดผ่อนปรนบ้านหนาดท่า จุดผ่อนปรนบ้านโพธิ์ไทร จุดผ่อนปรนบ้านธาตุพนมสามัคคี และจุดผ่อนปรนบ้านท่าอุเทน ซึ่งจากการที่มีด่านการค้าหลายแห่ง ส่งผลให้การค้าระหว่างนครพนมกับลาวมีความคึกตัก โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าไปลาว อยู่ที่ 6,705 ล้านบาท และมูลค่าการนำเข้าสินค้าจากลาว อยู่ที่ 64,302 ล้านบาท 

 

จะเห็นได้ว่า จากปัจจัยหลายๆด้าน ได้ผลักดันให้นครพนมกลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญของภาคอีสานตอนบนและประเทศไทย นอกเหนือจากนั้น ความเป็นเมืองท่าของนครพนมจะยิ่งใหญ่ขึ้นอีก จาหลากโครงการด้านคมนาคมและโลจิสติกส์ที่กำลังดำเนินการ

1. รถไฟทางคู่สายบ้านไผ่-นครพนม

  • เส้นทาง: บ้านไผ่ – มหาสารคาม – ร้อยเอ็ด – มุกดาหาร – นครพนม (สะพานมิตรภาพแห่งที่ 3)
  • ระยะทาง: 355 กิโลเมตร
  • มูลค่าโครงการ: 66,848 ล้านบาท
  • กำหนดแล้วเสร็จ: พ.ศ. 2571

โครงการรถไฟทางคู่สายบ้านไผ่-นครพนม เป็นหนึ่งในโครงการคมนาคมขนส่งที่มีบทบาทสำคัญในการยกระดับศักยภาพของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะในด้านการเชื่อมต่อกับระเบียงเศรษฐกิจแนวตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economic Corridor: EWEC) ซึ่งเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ที่เชื่อมโยงประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้านทั้งฝั่งตะวันออกและตะวันตก เช่น เมียนมา ลาว และเวียดนาม

โครงสร้างพื้นฐานด้านรางสายใหม่นี้ถูกออกแบบให้รองรับผู้โดยสารได้มากถึง 3.8 ล้านคนต่อปี ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการเดินทางของประชาชนทั้งเพื่อการทำงาน การท่องเที่ยว และการเข้าถึงบริการพื้นฐานต่าง ๆ ได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น

นอกจากการขนส่งผู้โดยสารแล้ว รถไฟทางคู่สายนี้ยังเพิ่มขีดความสามารถในการขนส่งสินค้าอย่างมีนัยสำคัญ โดยสามารถรองรับปริมาณสินค้าได้มากถึง 700,000 ตันต่อปี โดยเฉพาะสินค้าเป้าหมายหลักของภูมิภาค เช่น ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ซีเมนต์ และสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการขนส่ง เพิ่มความรวดเร็วในการเข้าถึงตลาด 

2. ศูนย์การขนส่งชายแดนจังหวัดนครพนม

  • พิกัด: ตำบลอาจสามารถ อำเภอเมืองนครพนม
  • มูลค่าโครงการ: 1,300 ล้านบาท
  • กำหนดแล้วเสร็จ: พ.ศ. 2568

ศักยภาพ:

ศูนย์การขนส่งชายแดนจังหวัดนครพนมถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีศักยภาพในการทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางสำหรับการรวบรวม คัดแยก และกระจายสินค้า ทั้งภายในประเทศและข้ามพรมแดนไปยังประเทศเพื่อนบ้าน

ศูนย์แห่งนี้ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการ โดยเฉพาะด้านโลจิสติกส์ ด้วยการลดต้นทุนการขนส่ง ลดเวลาในการเคลื่อนย้ายสินค้า และเพิ่มประสิทธิภาพของระบบซัพพลายเชนโดยรวม นอกจากนี้ ยังมีบทบาทสนับสนุนโครงข่ายคมนาคมอื่น ๆ โดยเฉพาะการเชื่อมโยงกับโครงการรถไฟทางคู่สายบ้านไผ่-นครพนม และโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งอื่นในพื้นที่ ซึ่งจะเสริมศักยภาพของจังหวัดนครพนมในการเป็นประตูเศรษฐกิจสำคัญของภาคอีสาน สู่ตลาดในภูมิภาคลุ่มน้ำโขงและอาเซียน

 

3. ถนนสายเชื่อมศูนย์ซ่อมอากาศยาน-ศูนย์กลางการค้าส่งชายแดน

  • พิกัด: สะพานมิตรภาพแห่งที่ 3 – ทล.212 อำเภอท่าอุเทน (ระยะทาง 23.1 กิโลเมตร)
  • มูลค่าโครงการ: 949 ล้านบาท
  • กำหนดแล้วเสร็จ: พ.ศ. 2568

ศักยภาพ:

ถนนสายเชื่อมระหว่างศูนย์ซ่อมอากาศยานกับศูนย์กลางการค้าส่งชายแดน จะมีบทบาทสำคัญในการยกระดับประสิทธิภาพด้านคมนาคมขนส่งระหว่างไทยและลาว โดยสนับสนุนการขนส่งสินค้าให้เป็นระบบโลจิสติกส์ที่ครบวงจร เชื่อมโยงทั้งทางบก อากาศ และชายแดน ถนนสายนี้ไม่เพียงลดระยะเวลาการขนส่ง แต่ยังช่วยเพิ่มโอกาสทางการค้าและการลงทุน โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการค้าชายแดน อุตสาหกรรมสนับสนุนการบิน และซัพพลายเชนด้านการเกษตร 

 

จากที่ได้กล่าวมาทั้งหมดนี้ เชื่อแน่ว่าหากศูนย์การขนส่งชายแดนจังหวัดนครพนมและเส้นทางรถไฟสายใหม่นี้แล้วเสร็จเมื่อไหร่ จะส่งผลให้สภาพสังคมและกิจกรรมทางเศรษฐกิจของนครพนมคึกคักและเติบโตมากกว่าที่เป็นอยู่หลายเท่าตัว โดยเฉพาะการค้า การลงทุนและอาจรวมไปถึงการท่องเที่ยว ซึ่งก็จะส่งผลดีไปยังจังหวัดอื่นๆในภาคอีสานและประเทศไทยในอีกหลายด้านต่อไป

 

อ้างอิงจาก

  • เว็บไซต์จังหวัดนครพนม
  • กรมพัฒนาธุรกิจการค้า
  • สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
  • กรมประชาสัมพันธ์
  • กรมการปกครอง
  • สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
  • ทุนท้องถิ่น
  • Traveloka

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Scroll to Top