ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกได้เข้ามาหยั่งรากบนแผ่นดินสยามมานานกว่า 350 ปีแล้ว ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เส้นทางของความเชื่อนี้ไม่ใช่เพียงการเผยแผ่ทางศาสนาเท่านั้น แต่ยังสัมพันธ์กับการก่อตัวของชุมชน การอพยพ และการจัดระเบียบปกครองที่สอดคล้องกับสังคมไทย
การเข้ามาของมิชชันนารีในยุคแรกมักมาพร้อมกับชาวยุโรปและกลุ่มผู้คนที่แสวงหาที่พึ่งพิง ชุมชนคริสตังในกรุงเทพฯ ถือกำเนิดขึ้นตามริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ดังเช่น วัดอัสสัมชัญ ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางสำคัญ วัดอัสสัมชัญหลังแรกเริ่มก่อสร้างในปี ค.ศ. 1820 และเสร็จในปี ค.ศ. 1821 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเกียรติแด่อัสสัมชัญของพระนางมหามารีอา
กลุ่มคริสตชนในยุคแรกประกอบด้วยหลายกลุ่ม เช่น ลูกหลานชาวไทย – โปรตุเกส และต่อมามีการอพยพของชาวเวียดนามคาทอลิกเข้ามาในสยามซึ่งอาศัยอยู่ในภาคอีสาน การเผยแผ่ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกในภาคอีสานเริ่มขึ้นราวปี ค.ศ. 1881 โดยคุณพ่อยอห์น บัปติสต์ โปรดม และคุณพ่อซาเวียร์ เกโก ชุมชนคาทอลิกในภาคอีสานหลายแห่งมีความพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ ท่าแร่ จังหวัดสกลนคร ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะหมู่บ้านคาทอลิกที่มีจำนวนมากที่สุดในประเทศไทย
การก่อตั้งชุมชนท่าแร่เป็นหนึ่งในส่ิงที่ที่แสดงให้เห็นถึง ความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนที่เป็นคริสตศาสนิกชนกับการอพยพ เมื่อครั้งที่มิชชันนารีได้นำกลุ่มคริสตชนชาวเวียดนามและชาวพื้นเมือง ซึ่งบางส่วนเป็นผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผีปอบและได้รับการปลดปล่อยจากการเกณฑ์แรงงาน ได้ตัดสินใจย้ายกลุ่มคริสตชนออกจากตัวเมืองสกลนครเพื่อหาทำเลที่ตั้งหมู่บ้านใหม่ พวกเขาได้จัดทำ “แพใหญ่” บรรทุกทั้งคนและสัมภาระข้ามหนองหารอย่างปลอดภัย และตั้งหลักแหล่งที่ท่าแร่ โดยตั้งชื่อวัดหลังแรกว่า “วัดมหาพรหมมีคาแอล หนองหาร” ซึ่งเป็นชุมชนที่ร้องขอความช่วยเหลือจากอัครเทวดามีคาแอลเป็นประจำเพื่อให้ช่วยคุ้มครองและต่อสู้กับความยากลำบาก การใช้สถาปัตยกรรมของอาสนวิหารอัครเทวดามีคาแอลในเวลาต่อมาซึ่งเป็นรูปทรง “หัวเรือสำเภา” หรือ “รูปหัวเรือ” ก็เพื่อสื่อถึงการนำอัครสังฆมณฑลฝ่าคลื่นลมไปสู่ความสำเร็จ เช่นเดียวกับสำเภาของโนอา และแพใหญ่ของคุณพ่อเกโกที่นำกลุ่มคริสตชนบรรพบุรุษข้ามหนองหารมาขึ้นฝั่งที่ท่าแร่อย่างปลอดภัย
ปัจจุบันพระศาสนจักรคาทอลิกในประเทศไทยมีการจัดแบ่งเขตปกครองออกเป็น 11 เขต ซึ่งประกอบด้วย อัครสังฆมณฑล และสังฆมณฑล ซึ่งการแบ่งเขตพื้นที่การดูแลหลายเขต ในประเทศไทยเป็นไปตามหลักการจัดระเบียบองค์การแบบอิปิสโคปัลของนิกายโรมันคาทอลิก โดยมุขนายกจะมีอำนาจควบคุมดูแล มุขมณฑล ซึ่งเป็นเขตปกครองที่กำหนดไว้ การจัดตั้งเขตปกครองเหล่านี้ทำให้การบริหารงานทางศาสนาและการแพร่ธรรมเข้าถึงพื้นที่ต่างๆ ได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ
เมื่อพิจารณาถึงการแบ่งเขตสังฆมณฑล จะพบว่า ภาคอีสาน มีสังฆมณฑลอยู่มากที่วุดในประเทศ ได้แก่ อัครสังฆมณฑลท่าแร่-หนองแสง สังฆมณฑลอุบลราชธานี สังฆมณฑลอุดรธานี และสังฆมณฑลนครราชสีมา แม้ว่าจำนวนคริสตศาสนิกชนคาทอลิกทั่วประเทศจะถือเป็นประชากรกลุ่มน้อย โดยมีจำนวนราวๆ ไม่ถึง 400,000 คน แต่การที่ภาคอีสานมีสังฆมณฑลจำนวนมากนี้ ส่วนหนึ่งเป็นความสัมพันธ์กับประวัติศาสตร์การแพร่ธรรมและการเมืองในยุคสงครามเย็น
ในยุคสงครามเย็น (ราว พ.ศ. 2490 – 2534) ประเทศไทย โดยเฉพาะภาคอีสาน ซึ่งถูกมองว่าเป็นพื้นที่ “สีชมพู” หรือฐานปฏิบัติการของกลุ่มคอมมิวนิสต์ ได้รับการพัฒนาอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากเงินทุนและอิทธิพลของสหรัฐอเมริกาที่เข้ามาตั้งฐานทัพและพยายามสกัดกั้นการแพร่กระจายของลัทธิคอมมิวนิสต์ ศาสนาคริสต์ซึ่งมีเนื้อแท้ที่ตรงกันข้ามกับระบอบคอมมิวนิสต์ที่ต่อต้านศาสนา จึงถูกผลักดันให้ปรับตัวเข้าสู่ความทันสมัย
ในยุคนี้เองที่เกิดปรากฏการณ์ “โบสถ์โมเดิร์น” ขึ้นในภาคอีสาน อาสนวิหารหลายแห่งที่สร้างขึ้นในช่วง พ.ศ. 2500 – 2520 จึงเลือกใช้ สถาปัตยกรรมแบบโมเดิร์น หรือแบบสากลนิยม แทนรูปแบบคลาสสิกของยุโรป รูปแบบโมเดิร์นนี้ถือเป็นสัญลักษณ์ของโลกเสรีประชาธิปไตยในยุคนั้น
- อาสนวิหารแม่พระนิรมล อุบลราชธานี ใช้สถาปัตยกรรมโมเดิร์นที่ล้ำสมัย
- อาสนวิหารพระมารดานิจจานุเคราะห์ อุดรธานี เป็นรูปแบบทรงไทยประยุกต์สมัยใหม่ ซึ่งได้รับอิทธิพลจากแบบสมัยใหม่รุ่นกลางศตวรรษที่ 19 หรือ Mid-century Modern
- อัครสังฆมณฑลท่าแร่-หนองแสง ซึ่งเป็นอัครสังฆมณฑลหนึ่งในภาคอีสาน ได้รับการสถาปนาขึ้นในปี ค.ศ. 1965 และมีการสร้าง อาสนวิหารอัครเทวดามีคาแอล หลังใหม่ที่มีรูปทรงเป็นหัวเรือสำเภาในลักษณะสถาปัตยกรรมสมัยใหม่
การที่ภาคอีสานมีสังฆมณฑลจำนวนมากจึงไม่ได้สัมพันธ์โดยตรงกับจำนวนประชากรคาทอลิกที่หนาแน่นกว่าภาคอื่นอย่างมีนัยยะสำคัญในแง่สถิติโดยรวมของประเทศ แต่เป็นผลมาจากความสำคัญเชิง ยุทธศาสตร์การเผยแผ่ ที่ต้องรองรับกลุ่มคริสตชนที่หนาแน่นเฉพาะพื้นที่ และสอดคล้องกับ พลวัตทางการเมืองและสังคมในยุคสงครามเย็น ที่ต้องการให้ศาสนาแสดงบทบาทเชิงสัญลักษณ์ของความก้าวหน้าและความเป็นสากล
นอกเหนือจากการเผยแผ่ศาสนาแล้ว ศาสนาคริสต์ยังเข้ามามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสังคมไทยผ่านงานด้านการศึกษาและการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ โรงเรียนคาทอลิก เช่น โรงเรียนอัสสัมชัญ ก่อตั้งขึ้นเพื่ออบรมสั่งสอนเด็กๆ และเป็นสถานที่ให้การศึกษา โดยมีมิชชันนารีผู้มีคุณูปการอย่าง บาทหลวงเอมิล ออกุสต์ กอลมเบต์ เป็นผู้ก่อตั้ง และ ฟ.ฮีแลร์ ภราดาชาวฝรั่งเศสผู้เป็นครูคนสำคัญและผู้แต่งแบบเรียนภาษาไทย ดรุณศึกษา ได้อุทิศตนให้กับการศึกษาที่อัสสัมชัญนานถึง 67 ปี
ในยุคสงครามเย็น องค์กรคาทอลิกอย่าง ‘โคเออร์’ (COERR) ได้เข้ามามีส่วนสำคัญในการดูแลผู้อพยพที่บ้านแตกสาแหรกขาดจากสงครามในกลุ่มประเทศอินโดจีน เมื่อครั้งที่ สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 เสด็จเยือนประเทศไทยในปี พ.ศ. 2527 (ค.ศ. 1984) ซึ่งนับเป็นการเสด็จเยือนครั้งแรกของผู้นำศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกในประเทศไทย พระองค์ได้เสด็จไปเยี่ยมเยียนค่ายผู้อพยพลี้ภัยที่อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี ซึ่งแสดงให้เห็นถึงบทบาทของศาสนจักรในการช่วยเหลือผู้ตกระกำลำบากจากความรุนแรง และทรงย้ำถึงความจำเป็นในการเสริมสร้าง สันติภาพ และการเคารพศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ โดยไม่เลือกเชื้อชาติหรือศาสนา
อ้างอิง
หอจดหมายเหตุอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ, สภาพระสังฆราชคาทอลิกแห่งประเทศไทย, The Cloud, The Momentum, แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ, Thai Catholic Hub, อาสนวิหารอัสสัมชัญ กรุงเทพฯ

