ภาค | รายได้: ล้านบาท |
ภาคอีสาน | 52,368 |
ภาคกลาง | 43,056 |
ภาคใต้ | 3,084 |
ภาคเหนือ | 29,615 |
กรุงเทพมหานครและปริมณฑล | 124,097 |
เครือ | ชื่อบริษัท | รายได้รวม (2567) (ล้านบาท) | %YoY รายได้ | กำไรขาดทุน (ล้านบาท) | %YoY กำไร | จังหวัด | ผลิต |
ไทยเบฟเวอเรจ | บริษัท อธิมาตร จำกัด | 4,415 | 3.6 | 144 | -4.9 | บุรีรัมย์ | กลั่นสุรา |
บริษัท เอส.เอส.การสุรา จำกัด | 4,751 | 1.0 | 134 | -11.8 | อุบลราชธานี | กลั่นสุรา | |
บริษัท แก่นขวัญ จำกัด | 5,015 | -0.4 | 117 | -33.9 | ขอนแก่น | กลั่นสุรา | |
บริษัท เทพอรุโณทัย จำกัด | 4,424 | 1.5 | 43 | -57.1 | หนองคาย | กลั่นสุรา | |
บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) (โรงงานนครราชสีมา) | นครราชสีมา | เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ | |||||
บุญรอดบริวเวอรี่ | บริษัท ขอนแก่น บริวเวอรี่ จำกัด | 31,962 | 19.1 | 876 | 123.3 | ขอนแก่น | เบียร์, น้ำดื่ม, โซดา |
บริษัท มหาสารคาม เบเวอเรช จำกัด | 1,801 | -5.2 | 110 | -0.6 | มหาสารคาม | น้ำดื่ม, โซดา |
โรงงานเครือ | รายได้รวม (ล้านบาท) | กำไรขาดทุน (ล้านบาท) | จำนวนจังหวัดที่มีการตั้งโรงงาน |
บุญรอดบริวเวอรี่ | 110,768 | 4,135 | 8 (8 โรงงาน) |
ไทยเบฟเวอเรจ | 127,546 | 3,057 | 16 (20 โรงงาน) |
ไทยเบฟเวอเรจ (เสริมสุข) | 13,905 | 236 | 6 (7 โรงงาน) |
หมายเหตุ: ข้อมูลรายได้รวมของบริษัทเป็นการนับรายได้เฉพาะรายได้จากบริษัทที่มีโรงงานเท่านั้น ไม่ได้เป็นการนับรายได้รวมทั้งหมดจากทุกธุรกิจ
เครื่องดื่ม หนึ่งในสินค้าอุปโภคบริโภคที่อยู่คู่กับชีวิตประจำวันของผู้คนไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือไม่ก็ตาม เราทุกคนล้วนต้องบริโภคเครื่องดื่มในแต่ละวัน สินค้าประเภทนี้มีผู้เล่นจำนวนมากในตลาด แต่หากพูดถึงแบรนด์รายใหญ่ที่คุ้นหูคนไทย ชื่อที่มักจะถูกนึกถึงก่อนเสมอก็คือ “บุญรอดบริวเวอรี่” หรือ “สิงห์”, “ไทยเบฟเวอเรจ” หรือ “ช้าง” และ “เสริมสุข” ที่อยู่เบื้องหลังแบรนด์อย่าง “โออิชิ” และ “คริสตัล” ความแข็งแกร่งของแบรนด์เหล่านี้เกิดจากทั้งความคุ้นเคยของผู้บริโภค และความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ทุกกลุ่มเป้าหมาย ส่งผลให้แบรนด์เหล่านี้สามารถครองส่วนแบ่งตลาดและสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง
วันนี้ ISAN Insight & Outlook จะพาไปสำรวจว่า โรงงานผลิตเครื่องดื่มของเครือบุญรอดและไทยเบฟในภาคอีสานตั้งอยู่ที่ใดบ้าง และมีการผลิตอะไรเป็นหลัก
บุญรอดบริวเวอรี่ หรือที่เราคุ้นเคยกันในชื่อ “สิงห์” จากผลิตภัณฑ์หลากหลายที่ใช้โลโก้สิงห์ ไม่ว่าจะเป็นน้ำดื่ม โซดา หรือเบียร์ แบรนด์นี้กลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของเครื่องดื่มระดับประเทศ ปัจจุบัน บริษัทอยู่ภายใต้การบริหารของทายาทรุ่นที่ 4 คือ คุณภูริต ภิรมย์ภักดี หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อ “เต้ ภูริต” อดีตนักร้องชื่อดัง ซึ่งเข้ารับช่วงต่อในวันที่ 1 ตุลาคม 2565 หลังจากการจากไปของ คุณจุตินันท์ ภิรมย์ภักดี ผู้บริหารรุ่นก่อน ที่เสียชีวิตอย่างสงบในประเทศสหรัฐอเมริกา หนึ่งในผลงานเด่นของคุณภูริตก่อนขึ้นดำรงตำแหน่ง คือการเปิดตัว “สิงห์ เลมอนโซดา” เครื่องดื่มที่ออกแบบมาตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ และสะท้อนการปรับตัวของแบรนด์ต่อเทรนด์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป
จุดเริ่มต้นของ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อ พระยาภิรมย์ภักดี ได้พบกับ เอมิล ไอเซินโอเฟอร์ ผู้จัดการห้างเพาส์ปิกเคนปัก และได้มีโอกาสลิ้มลองเบียร์เยอรมัน จนเกิดความประทับใจและมองเห็นโอกาสในการผลิตเบียร์ขายในเมืองไทยในปี พ.ศ. 2473 พระยาภิรมย์ภักดีได้ยื่นหนังสือขออนุญาตจัดตั้งโรงต้มกลั่นเบียร์ขึ้น และต่อมาในวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2476 ได้ก่อตั้ง โรงงานผลิตเบียร์แห่งแรกของประเทศไทย บนพื้นที่ 9 ไร่ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ย่านบางกระบือ ด้วยทุนจดทะเบียนเริ่มต้นจำนวน 600,000 บาท ในปีถัดมา (พ.ศ. 2477) พระยาภิรมย์ภักดีได้นำเบียร์สดใส่ถังไปเปิดให้ประชาชนได้ชิมฟรีในงานของ สโมสรคณะราษฎร ผลตอบรับดีเกินคาด ผู้คนให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก เกิดกระแสพูดถึงอย่างแพร่หลาย และนำไปสู่การจำหน่ายเบียร์รุ่นแรกในวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2477 เบียร์รุ่นแรกมีหลากหลายตรายี่ห้อ เช่น ตราว่าว, ตราพระปรางค์, ตรากุญแจ, ตรารถไฟ, ตราหมี แต่ในที่สุด เบียร์ “ตราสิงห์” กลับได้รับความนิยมสูงสุด บริษัทจึงค่อย ๆ ยุติการผลิตยี่ห้ออื่นลง เหลือไว้เพียง “เบียร์สิงห์” ซึ่งกลายเป็นภาพจำของแบรนด์มาจนถึงปัจจุบัน
ปัจจุบัน บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด มีบริษัทในเครือทั้งหมด 9 แห่งทั่วประเทศ โดยในภาคอีสานนั้นมี2 บริษัทซึ่งเป็นโรงงานอยู่ทั้งหมด 2 แห่ง คือที่จังหวัดขอนแก่น และมหาสารคาม ซึ่งถือเป็นฐานการผลิตสำคัญของบริษัทในภูมิภาคนี้ โรงงานแห่งแรกตั้งอยู่ในจังหวัดขอนแก่นทำหน้าที่ผลิตเบียร์ น้ำดื่ม และโซดา โดยมุ่งเน้นที่การผลิตเบียร์เป็นหลักด้วยกำลังการผลิตเฉลี่ยสูงถึง 700 ล้านลิตรต่อปี ส่วนการผลิตโซดาและน้ำดื่มนั้นอยู่ที่ 150 ล้านลิตร และ 100 ล้านลิตรต่อปี ตามลำดับ นอกจากนี้ ภายในพื้นที่ของโรงงานยังมี สนามกอล์ฟสิงห์ปาร์ค ขอนแก่น ซึ่งถูกพัฒนาให้เป็นแหล่งรายได้เสริมของบริษัท รวมถึงใช้สำหรับจัดกิจกรรมทางการตลาด และส่งเสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์อีกด้วย สำหรับโรงงานอีกแห่งหนึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดมหาสารคามซึ่งเน้นการผลิต น้ำดื่ม เป็นหลัก และรองลงมาคือการผลิตโซดา โดยมีกำลังการผลิตน้ำดื่มอยู่ที่ประมาณ 150 ล้านลิตรต่อปี และโซดาอีก 80 ล้านลิตรต่อปี ซึ่งช่วยสนับสนุนการกระจายสินค้าไปยังพื้นที่ภาคอีสานและภูมิภาคใกล้เคียงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ไทยเบฟเวอเรจ หรือที่คุ้นเคยกันในชื่อ “ช้าง” เป็นหนึ่งในผู้นำด้านอุตสาหกรรมเครื่องดื่มของประเทศไทย โดยมีผลิตภัณฑ์หลากหลายครอบคลุมทั้งกลุ่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และไม่มีแอลกอฮอล์ ในส่วนของเบียร์ แบรนด์ “ช้าง” ถือเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์หลักที่ได้รับความนิยมสูงและเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง นอกจากเบียร์ช้างแล้ว ไทยเบฟเวอเรจยังมีผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสุรากลั่น เช่น หงส์ทอง สุราขาว และ Meridian เป็นต้น รวมถึงเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ที่อยู่ภายใต้การดูแลของ บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตเครื่องดื่มรายใหญ่ของไทย แบรนด์เครื่องดื่มที่อยู่ภายใต้การบริหารของเสริมสุขนั้นล้วนเป็นแบรนด์ที่ผู้บริโภคคุ้นเคยและบริโภคในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็น โออิชิ ในกลุ่มชาเขียวพร้อมดื่ม, น้ำดื่มคริสตัล, และ น้ำอัดลมเอส ที่แข่งขันในตลาดเดียวกับแบรนด์ระดับโลก
บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2546 โดยคุณ เจริญ สิริวัฒนภักดี นักธุรกิจไทยผู้มีบทบาทสำคัญในวงการอุตสาหกรรมเครื่องดื่มของประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อรวบรวมกิจการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเบียร์และสุราชั้นนำของไทยมาไว้ภายใต้การบริหารของบริษัทเดียว ภายหลังการจัดตั้ง บริษัทได้เติบโตอย่างรวดเร็วและสามารถขยายธุรกิจได้อย่างครอบคลุมทั้งในและต่างประเทศ ในปี พ.ศ. 2549 ไทยเบฟเวอเรจได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ (SGX) ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการผลักดันบริษัทเข้าสู่ระดับสากล ปัจจุบัน บริษัทมีอายุการดำเนินงานมากกว่า 20 ปี และมีมูลค่าสินทรัพย์รวมมากกว่า 337,370 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ไทยเบฟเวอเรจไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ทั้งที่ในช่วงต้นบริษัทมีแผนจะเสนอขายหุ้นให้แก่ประชาชนทั่วไป (IPO) และเตรียมเข้าจดทะเบียนใน SET ในปี พ.ศ. 2548 โดยคาดว่าจะเป็นหนึ่งในการระดมทุนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศไทยในเวลานั้น ทว่า แผนการดังกล่าวกลับต้องหยุดชะงักลงเมื่อเกิดกระแสต่อต้านจากพระสงฆ์และกลุ่มศาสนาหลายแห่งทั่วประเทศ ที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พร้อมคัดค้านการระดมทุนผ่านตลาดทุน ถึงแม้ว่าสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจะมีความพยายามควบคุมไม่ให้พระสงฆ์เข้าร่วมประท้วง แต่ในที่สุดก็มีพระสงฆ์จำนวนกว่า 2,000 รูปจากวัดพระธรรมกายออกมาชุมนุมและอ่านบทสวดมนต์หน้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อเรียกร้องให้ยุติการเสนอขายหุ้นของบริษัท เหตุการณ์ในครั้งนั้นนำไปสู่ความกดดันทางสังคมอย่างหนัก และส่งผลให้ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องลาออกจากตำแหน่งในที่สุด ไทยเบฟเวอเรจจึงตัดสินใจถอนตัวจากการเข้าจดทะเบียนในประเทศไทย และหันไปใช้ตลาดทุนในสิงคโปร์เป็นเวทีหลักแทน ซึ่งกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ไทยเบฟเวอเรจกลายเป็นบริษัทจดทะเบียนต่างประเทศที่มีบทบาทโดดเด่นในระดับภูมิภาคในปัจจุบัน
ไทยเบฟเวอเรจ เป็นหนึ่งในบริษัทเครื่องดื่มรายใหญ่ระดับภูมิภาคที่มีเครือข่ายการผลิตกระจายอยู่ทั่วโลก โดยปัจจุบันมีโรงงานผลิตรวมมากกว่า 90 แห่ง ในหลายประเทศทั่วโลก และในประเทศไทยเพียงประเทศเดียวก็มีโรงงานตั้งอยู่ถึง 42 แห่ง แบ่งเป็นโรงกลั่นสุรา 20 แห่ง โรงผลิตเบียร์ 3 แห่ง และโรงงานผลิตเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์อี 20 แห่ง ครอบคลุมทุกภูมิภาค สำหรับในภาคอีสาน ไทยเบฟเวอเรจมีโรงงานอยู่ทั้งสิ้น 5 แห่ง โดยในจำนวนนี้ 4 แห่ง เป็นโรงงานผลิตสุรากลั่น ตั้งอยู่ในจังหวัด บุรีรัมย์, อุบลราชธานี, ขอนแก่น และ หนองคาย ซึ่งแต่ละแห่งมีบทบาทสำคัญในการผลิตและกระจายสินค้าไปยังตลาดทั้งในประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน มีเพียงโรงงานในจังหวัด นครราชสีมา เท่านั้นที่ทำหน้าที่เป็นฐานการผลิต เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ซึ่งอยู่ภายใต้การบริหารของ บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) โดยโรงงานแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายการผลิตสินค้าหลักของไทยเบฟในกลุ่มเครื่องดื่มที่ผู้บริโภคคุ้นเคย
หากพิจารณาในมิติด้าน รายได้จากการดำเนินธุรกิจ จะพบว่า ภาคอีสานสามารถสร้างรายได้เป็นอันดับ 2 ของประเทศ รองจากกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจหลักของประเทศข้อมูลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึง ศักยภาพของภาคอีสานในฐานะพื้นที่การผลิตเครื่องดื่มที่สำคัญ โดยเฉพาะจากโรงงานของบริษัทชั้นนำอย่างบุญรอดบริวเวอรี่ และไทยเบฟเวอเรจ ที่มีฐานการผลิตกระจายอยู่ในหลายจังหวัดของภูมิภาคนี้ โรงงานเหล่านี้ไม่เพียงแต่ผลิตสินค้าเพื่อรองรับการบริโภคภายในพื้นที่เท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการกระจายสินค้าไปยังภูมิภาคอื่นๆทั่วประเทศ อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างรายได้ สร้างงาน และกระตุ้นเศรษฐกิจระดับท้องถิ่นในวงกว้างอย่างมีนัยสำคัญ
อ้างอิง
- กรมพัฒนาธุรกิจการค้า
- เว็บไซต์ของบริษัท
- รายงานประจำปีของบริษัท
- TODAY Bizview
- Sanook
- Financial Times
- IPS News
- AP Newsroom