หมวด | หน่วย | นครพนม | หนองคาย | มุกดาหาร |
จำนวนธุรกิจจดทะเบียนใหม่ปี 2567 | แห่ง | 68 | 123 | 117 |
มูลค่าทุนจดทะเบียนปี 2567 | ล้านบาท | 100 | 164 | 476 |
จำนวนธุุรกิจทั้งหมด | แห่ง | 910 | 1475 | 1160 |
มูลค่าทุนจดทะเบียนรวม | ล้านบาท | 3864 | 7104 | 10069 |
ผลประกอบการงบการเงิบปี 2566 | ธุรกิจ | ขายยานพาหนะ | การผลิตสุรากลั่น | ขายส่งผักผลไม้ |
มูลค่า (ล้านบาท) | 4805 | 4359 | 7441 | |
ธุรกิจ | ขายเชื้อเพลิงยานยนต์ | ขายยานพาหนะ | ขายสินค้าทั่วไป | |
มูลค่า (ล้านบาท) | 2124 | 2126 | 3276 | |
ธุรกิจ | ขายสินค้าทั่วไป | ขายเครื่อวจักรทางการเกษตร | การผลิตน้ำตาล | |
มูลค่า (ล้านบาท) | 1933 | 1265 | 3075 | |
ต่างชาติที่ลงทุนสูงสุด | ประเทศ | ลาว | จีน | จีน |
ทุนจดทะเบียน | 54 | 43 | 14 | |
ประเทศ | อเมริกัน | ลาว | มาเลเซีย | |
ทุนจดทะเบียน | 20 | 33 | 9 | |
ประเทศ | สิงคโปร์ | ฝรั่งเศส | ลาว | |
ทุนจดทะเบียน | 3 | 5 | 7 |
เขตเศรษฐกิจพิเศษ (Special Economic Zone: SEZ) คือ พื้นที่ที่รัฐบาลกำหนดขึ้นเป็นการเฉพาะ เพื่อกระตุ้นและส่งเสริมกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะด้านการลงทุน การค้าชายแดน และการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยรัฐจะให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ประกอบการในพื้นที่เหล่านี้เป็นพิเศษ เช่น การยกเว้นหรือลดหย่อนภาษี การผ่อนคลายกฎหมายแรงงานต่างด้าว การอำนวยความสะดวกด้านพิธีการศุลกากร ตลอดจนการจัดตั้งศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) เพื่อลดความซ้ำซ้อนและขั้นตอนทางราชการในการดำเนินธุรกิจ
ประเทศไทยเริ่มผลักดันแนวคิดการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษอย่างจริงจังในปี 2541 โดยมีจุดเริ่มต้นจากแนวคิด “ระเบียงเศรษฐกิจ” (Economic Corridor) ซึ่งธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) โดยการผลักดันพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนเพื่อการเปลี่ยนระเบียงการขนส่ง (Transport Corridors) ให้เป็นระเบียงเศรษฐกิจ เพื่อเพิ่มการเชื่อมโยงการค้า การลงทุน และการพัฒนาเศรษฐกิจระหว่างประเทศสมาชิกในภูมิภาค
ต่อมาในปี 2556 คณะรัฐมนตรีมีมติมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ดำเนินการศึกษาความเหมาะสมในการจัดตั้ง SEZ เพื่อเตรียมความพร้อมของประเทศไทยในการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) โดยมีเป้าหมายให้ SEZ เป็นเครื่องมือกระจายความเจริญทางเศรษฐกิจจากศูนย์กลางไปยังพื้นที่ชายแดน ลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในภูมิภาค
ภาคอีสานถือเป็นหนึ่งในพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญของการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษของไทย เนื่องจากมีพรมแดนติดต่อกับ สปป.ลาว และกัมพูชา ซึ่งอยู่ในกลุ่มประเทศ CLMTV (กัมพูชา ลาว เมียนมา ไทย เวียดนาม) ที่ล้วนต่างก็ผลักดันเขตเศรษฐกิจพิเศษของตนเพื่อดึงดูดการลงทุนเช่นเดียวกัน ภาคอีสานจึงกลายเป็นจุดเชื่อมโยงสำคัญของการค้า การผลิต และการเคลื่อนย้ายแรงงานในระดับภูมิภาค
ในปี 2557 คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ประกาศนโยบายการจัดตั้งและพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีการจัดตั้ง คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) และคณะอนุกรรมการต่างๆ เพื่อกำกับ ทบทวน และผลักดันนโยบาย SEZ อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง พร้อมกับการกำหนดพื้นที่นำร่องใน 10 จังหวัดชายแดน แบ่งเป็น 2 ระยะ ดังนี้
- ระยะแรก (เริ่มในปี 2558) ได้แก่ จังหวัด ตาก, มุกดาหาร, สระแก้ว, ตราด และสงขลา ครอบคลุม 10 อำเภอ 36 ตำบล
- ระยะที่สอง (เริ่มในปี 2559) ขยายไปยังจังหวัด หนองคาย, นราธิวาส, เชียงราย, นครพนม และกาญจนบุรี ครอบคลุม 12 อำเภอ 55 ตำบล
หนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญของการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษของไทย คือการกระจายความเจริญออกจากศูนย์กลางสู่ภูมิภาค และสร้างความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน โดยในภาคอีสานมีชายแดนติดต่อกับ สปป.ลาว และกัมพูชา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขงที่กำลังกลายเป็นตลาดและฐานการผลิตที่มีศักยภาพสูง พื้นที่ SEZ ในภาคอีสานที่สำคัญ ได้แก่ จังหวัดหนองคาย มุกดาหาร และนครพนม ซึ่งต่างมีจุดแข็งในเชิงยุทธศาสตร์ชายแดน โครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมโยงข้ามประเทศ และโอกาสทางเศรษฐกิจที่หลากหลาย
หนองคาย เป็นประตูการค้าสำคัญที่เชื่อมไทยกับนครหลวงเวียงจันทน์ของ สปป.ลาว ผ่านสะพานมิตรภาพไทย–ลาวแห่งแรก พื้นที่นี้ยังอยู่ในแนวเส้นทางรถไฟจีน–ลาว–ไทย ทำให้มีศักยภาพสูงในการเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ การค้าชายแดน และการขนส่งสินค้าไปยังจีนตอนใต้ หนองคายจึงเหมาะสำหรับกิจการกระจายสินค้า แปรรูปอาหาร และธุรกิจที่ต้องการเชื่อมโยงกับภูมิภาคอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
มุกดาหาร เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่บนเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก–ตะวันตก (East–West Economic Corridor) และเชื่อมกับแขวงสะหวันนะเขตของลาว ซึ่งเป็นที่ตั้งของเขตเศรษฐกิจพิเศษสะหวัน-เซโน พื้นที่มุกดาหารจึงมีความเหมาะสมกับการพัฒนาอุตสาหกรรมที่พึ่งพาการส่งออก เช่น การแปรรูปเกษตร อุตสาหกรรมเบา และธุรกิจโลจิสติกส์ ทั้งยังสามารถใช้ประโยชน์จากแรงงานและวัตถุดิบที่เคลื่อนย้ายจากประเทศเพื่อนบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขณะที่ นครพนม เป็นจังหวัดชายแดนที่เชื่อมโยงไทย–ลาว–เวียดนามผ่านสะพานมิตรภาพไทย–ลาว แห่งที่ 3 และทางหลวงหมายเลข 12 ที่ทอดยาวไปยังท่าเรือดานัง ประเทศเวียดนาม จึงถือเป็นอีกหนึ่งจุดยุทธศาสตร์ที่เชื่อมฝั่งทะเลจีนใต้กับแผ่นดินใหญ่ของไทย การจัดตั้ง SEZ ในนครพนมจึงเน้นการเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออก การแปรรูปสินค้าเกษตร และเป็นจุดพักสินค้าสำหรับการขนส่งต่อไปยังประเทศที่สาม
ความสำคัญของเขตเศรษฐกิจพิเศษ
1) เครื่องมือส่งเสริมการลงทุนและดึงดูดทุนต่างชาติ
รัฐบาลจัดตั้ง SEZ เพื่อดึงดูดนักลงทุน โดยใช้มาตรการจูงใจ เช่น การยกเว้นภาษี ศุลกากร และการลดขั้นตอนทางราชการ นักลงทุนนิยมเข้ามาใช้สิทธิประโยชน์เหล่านี้ในการตั้งฐานการผลิต ซึ่งสามารถสร้างรายได้และเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทยอย่างมหาศาล ทั้งในรูปแบบของเงินลงทุน การจ้างงาน และรายได้จากการส่งออก
2) ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและภูมิภาค
SEZ เป็นกลไกสำคัญในการเปิดประเทศสู่ระบบเศรษฐกิจเสรี โดยเปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาดำเนินธุรกิจ เป็นการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศทั้งด้านการค้า การเคลื่อนย้ายแรงงาน เทคโนโลยี และทุนมนุษย์ ซึ่งช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองในระดับภูมิภาค โดยเฉพาะกับประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มลุ่มน้ำโขง
3) กระจายความเจริญและลดความเหลื่อมล้ำ
การจัดตั้ง SEZ มักเกิดขึ้นในพื้นที่ชายแดนหรือภูมิภาคที่ยังพัฒนาไม่ทั่วถึง เช่น ภาคอีสานตอนบนและล่าง การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน น้ำ ไฟฟ้า และโทรคมนาคม รวมถึงการเข้าถึงบริการของรัฐที่ดีขึ้น ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ ลดความเหลื่อมล้ำระหว่างภูมิภาค และขับเคลื่อนการเติบโตเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น
4) พัฒนาเทคโนโลยีและถ่ายทอดความรู้
การเข้ามาของนักลงทุนต่างชาติใน SEZ นำมาซึ่งการถ่ายทอดเทคโนโลยีในกระบวนการผลิต การบริหารจัดการ และวิทยาการใหม่ๆ สู่ภาคอุตสาหกรรมไทย ส่งผลให้แรงงานไทยมีโอกาสพัฒนาทักษะและขีดความสามารถ รวมถึงเป็นการยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม แม้ SEZ จะเป็นยุทธศาสตร์ที่ได้รับความสนใจจากทั้งภาครัฐและเอกชน แต่ประสบการณ์ในกลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขง รวมถึงประเทศไทยเอง ชี้ให้เห็นว่าการดำเนินโครงการ SEZ หลายแห่งกลับนำไปสู่ข้อกังวลด้าน สิทธิมนุษยชน สิ่งแวดล้อม และสิทธิแรงงาน โดยเฉพาะในภาคอีสานที่มีชุมชนเกษตรกรรมเข้มแข็งและพึ่งพาทรัพยากรที่ดินและน้ำในการดำรงชีวิต
สิทธิประโยชน์การลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษของไทย
เพื่อเร่งรัดการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (SEZ) คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ได้ออก ประกาศที่ 4/2557 ลงวันที่ 18 ธันวาคม 2557 ตามมติของคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) เพื่อกำหนด สิทธิประโยชน์เพิ่มเติมเป็นพิเศษสำหรับกิจการที่ลงทุนในพื้นที่เขต SEZ โดยมีรายละเอียดที่สำคัญ ดังนี้
-
สิทธิประโยชน์ทางภาษี
กรณีที่ 1 กิจการตามบัญชีประเภทของบีโอไอ (ประกาศ กกท. ที่ 2/2557)
- ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงสุด 8 ปี
- ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเพิ่มเติมอีก 3 ปี
- หลังหมดสิทธิยกเว้น จะได้รับการลดหย่อนภาษีอีก ร้อยละ 50 เป็นเวลา 5 ปี
กรณีที่ 2 กิจการเป้าหมายตามที่ กนพ. กำหนด
- ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลทันที 8 ปี
- ลดหย่อนภาษีเงินได้อีก ร้อยละ 50 เป็นเวลา 5 ปี
-
สิทธิประโยชน์ด้านต้นทุน
- หักค่าใช้จ่าย ค่าขนส่ง ไฟฟ้า และประปา 2 เท่า เป็นเวลา 10 ปี
- หักค่าติดตั้งหรือก่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวก 25% ของเงินลงทุน (นอกเหนือจากค่าเสื่อมราคาปกติ)
- ยกเว้นอากรขาเข้า เครื่องจักร และ วัตถุดิบเพื่อการส่งออก
-
สิทธิประโยชน์อื่นๆ ที่มิใช่ภาษี
- อนุญาตใช้แรงงานต่างด้าวไร้ฝีมือ อย่างถูกกฎหมาย
- นำช่างเทคนิคต่างด้าวเข้ามาทำงาน
- ถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดิน ได้ (แต่หากเลิกกิจการ ต้องจำหน่ายภายใน 1 ปี)
- เงื่อนไขเพิ่มเติม
กิจการต้องยื่นขอรับการส่งเสริมภายใน ธันวาคม 2560 และเป็นไปตามเกณฑ์หลัก เช่น ขนาดการลงทุนขั้นต่ำ อัตราหนี้สินต่อทุน ฯลฯ ตามประกาศ กกท. ที่ 2/2557
เขตเศรษฐกิจพิเศษเป็นกลไกเชิงยุทธศาสตร์ที่รัฐบาลไทยใช้เพื่อส่งเสริมการลงทุน การค้า การผลิต และการเคลื่อนย้ายแรงงาน โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดน ผ่านการให้สิทธิประโยชน์ทั้งด้านภาษี แรงงาน และการอำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจ เช่น การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล การลดหย่อนภาษีต้นทุนการผลิต และการจัดตั้งระบบ One Stop Service เพื่อลดขั้นตอนทางราชการ และยังมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงเศรษฐกิจไทยกับประเทศในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง โดยเฉพาะกลุ่ม CLMTV ทั้งในแง่ของการค้า การลงทุน และการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย ส่งผลให้ไทยสามารถกระจายความเจริญจากศูนย์กลางสู่ภูมิภาค ลดความเหลื่อมล้ำด้านเศรษฐกิจ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน นอกจากนี้ ยังช่วยดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ ส่งเสริมการถ่ายทอดเทคโนโลยี และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว โดยเฉพาะในพื้นที่ยุทธศาสตร์อย่างภาคอีสานที่มีศักยภาพสูงในการเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและการเชื่อมโยงระดับภูมิภาค
อ้างอิง
- กรมพัฒนาธุรกิจการค้า
- กรมประชาสัมพันธ์
- สำนักยุทธศาสตร์และนโยบายการลงทุน
- The International Commission of Jurists
- MMThailand