ในปี 2567 ประเทศไทยมีคนจนเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 3.43 ล้านคน หรือ 4.89% ของประชากรทั้งหมด โดยเฉพาะในภาคอีสานที่ยังคงมี “สัดส่วนคนจนสูง” แม้เศรษฐกิจโดยรวมจะเริ่มฟื้นตัว แต่ความเปราะบางในระดับครัวเรือนกลับยิ่งชัดเจนขึ้น
โดยจังหวัด อุบลราชธานี และ ศรีสะเกษ กลายเป็นตัวแทนของภาพเศรษฐกิจอีสานในปัจจุบัน ทั้งคู่ติดอันดับ Top 10 จังหวัดที่มีคนจนมากที่สุดของไทย โดยอุบลราชธานีมีสัดส่วนคนจนกว่า 20.34% ของประชากรทั้งหมดในจังหวัด ส่วนศรีสะเกษอยู่ที่ 14.08% สะท้อนให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้างที่ฝังรากลึก แม้จะอยู่ในภูมิภาคที่อุดมด้วยทรัพยากรและพรมแดนการค้า แต่ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจกลับไม่กระจายสู่ชุมชนอย่างเท่าเทียมนั่นเอง
เศรษฐกิจอีสานส่วนใหญ่ยังพึ่งพาเกษตรกรรมเป็นหลัก แรงงานกว่าครึ่งหนึ่งทำงานอยู่ในภาคเกษตร โดยเฉพาะการทำนา ปลูกอ้อย มันสำปะหลัง และข้าวโพด สินค้าหลักที่สามารถสร้างรายได้กลับผันผวนและพึ่งพาธรรมชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความไม่แน่นอนของฝน ความเสียหายจากน้ำท่วมซ้ำซาก และต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น กลายเป็น “กับดักรายได้ต่ำ” ที่ทำให้เกษตรกรส่วนใหญ่ไม่สามารถสะสมทุนเพื่อหลุดพ้นจากความยากจนได้ อีกทั้งยังอยู่ท่ามกลางภาวะค่าครองชีพที่สูง รายได้ที่ไม่แน่นอน และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวยังไม่เต็มที่
ขณะเดียวกัน โอกาสทางเศรษฐกิจในอีสานยังถูกจำกัดด้วย โครงสร้างการลงทุนและโครงสร้างพื้นฐาน ที่ไม่เอื้อให้เกิดธุรกิจสมัยใหม่ การลงทุนภาคเอกชนยังคงกระจุกตัวในภาคกลางและภาคตะวันออก ขณะที่ภาคอีสานแม้จะมีศักยภาพทางภูมิศาสตร์มหาศาล โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดนอย่างมุกดาหาร หนองคาย และอุบลราชธานี ที่เชื่อมโยงกับ สปป.ลาวและกัมพูชา แต่การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษยังไม่ต่อยอดสู่ภาคอุตสาหกรรมหรือบริการได้อย่างแท้จริง .
แรงงานจำนวนมากจึงเลือกเดินทางออกจากภูมิภาคไปทำงานในกรุงเทพฯ หรือระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) เพื่อหารายได้สูงกว่า ผลคือ “เศรษฐกิจท้องถิ่นขาดแรงหมุนเวียน” เงินรายได้จากแรงงานอีสานที่ส่งกลับบ้านในรูปของเงินโอน แม้จะช่วยเลี้ยงครัวเรือนในระยะสั้น แต่ไม่ได้สร้างการเติบโตในระยะยาว เมื่อคนหนุ่มสาวย้ายถิ่น แรงงานในพื้นที่จึงเหลือเพียงผู้สูงอายุและแรงงานไร้ทักษะ ซึ่งเป็นกลุ่มที่เปราะบางที่สุดในระบบเศรษฐกิจนั่นเอง
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ฉุดรั้งอีสานคือ โครงสร้างประชากรที่กำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันอีสานมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปกว่า 28.4% ของประชากรทั้งหมดในภูมิภาค ซึ่งหมายความว่าภาคแรงงานจะยิ่งหดตัวลง และภาระการดูแลสังคมจะเพิ่มขึ้น
เมื่อเศรษฐกิจพึ่งเกษตร รายได้ไม่แน่นอน การลงทุนต่ำ และโครงสร้างประชากรเปลี่ยน ซึ่งปัจจัยทั้งหมดนี้ได้กลายเป็น “วงจรความยากจนเชิงโครงสร้าง” ที่ทำให้ภาคอีสานของเราที่แม้จะมีศักยภาพ แต่ไม่อาจก้าวทันภูมิภาคอื่นของประเทศนั่นเอง
อีสานมีศักยภาพมหาศาลทั้งด้านทรัพยากรธรรมชาติ แรงงาน วัฒนธรรม และภูมิรัฐศาสตร์ หากได้รับการพัฒนาอย่างมีทิศทาง อีสานจะไม่ใช่เพียง “ภูมิภาคแห่งความยากจน” อีกต่อไป แต่จะกลายเป็น “ภูมิภาคแห่งพลังใหม่ของเศรษฐกิจไทย” ที่เติบโตบนฐานความยั่งยืนและภูมิปัญญาท้องถิ่น
อ้างอิงจาก:
– สำนักงานสถิติแห่งชาติ
– สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ.
– ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ.
– สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.)
– กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
– กรุงเทพธุรกิจ
ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่
https://linktr.ee/isan.insight
#ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #ความยากจน #ยากจน #สัดส่วนคนยากจน #คนจน