Infographic

สรุปเรื่อง น่ารู้ แดนอีสาน ทั้ง เศรษฐกิจ ธุรกิจ สังคม ศิลปะ วัฒนธรรม

ครูไทยแบกภาระเกินจริงที่ไม่ใช่แค่สอน พาสำรวจเบิ่ง “แม่พิมพ์ของชาติ” ในอีสานมีมากแค่ไหน⁉️

เปิดใจ “ครูไทย” ทำงานเกิน 8 ชม./วัน แถมเวลาสอนหายไป 6 ชม./สัปดาห์ เคยรู้หรือไหมว่า “ครูไทย” ของเรากำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง? พบข้อมูลว่า 95% ของคุณครูต้องทำงานหนักเกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน แต่สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ 58% ของครูถูกแย่งเวลาสอนไปถึงสัปดาห์ละ 6 ชั่วโมง เพื่อไปทำงานอื่นที่ไม่ใช่ภารกิจหลักนั่นเอง นี่คือภาพสะท้อนที่ชัดเจนว่า “แม่พิมพ์ของชาติ” กำลังถูกภาระงานอื่นที่ไม่ใช่การสอนกัดกินเวลาอันมีค่า ทำให้ไม่สามารถทุ่มเทให้กับการพัฒนาลูกศิษย์ได้อย่างเต็มที่ สู่ความจริงอันเจ็บปวด เมื่อ “ครู” ไม่ได้แค่ “สอน” ปัญหาการทำงานเกินหน้าที่ของครูไทยไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นปัญหาเรื้อรังของระบบการศึกษาไทยมาอย่างยาวนาน แม้ภาครัฐจะพยายามแก้ไขด้วยการเพิ่มอัตราการจ้างครูธุรการและภารโรงแล้วก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าความพยายามเหล่านั้นยังคงเป็นเพียงการบรรเทาอาการ ไม่ใช่การรักษาที่ต้นเหตุ ข้อมูลจาก The Active Thai PBS และสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้ (สสค.) ตอกย้ำภาพความจริงอันน่าหดหู่ว่า มีครูไทยกว่า 95% ต้องทำงานนานเกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน และ 58% ใช้เวลากว่า 6 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ไปกับงานที่ไม่ใช่การสอน ยิ่งไปกว่านั้น ใน 200 วันทำการ ครูต้องเสียเวลาไปกับงานประเมินผลงาน งานแข่งขันวิชาการ และงานจัดทำโครงการมากถึง 84 วัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโรงเรียนขนาดเล็กที่ไร้ซึ่งบุคลากรสนับสนุน ปัญหาเหล่านี้ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นไปอีก ครูในปัจจุบันไม่ได้มีหน้าที่เพียงถ่ายทอดความรู้เท่านั้น แต่ต้องแบกรับภาระงานสารพัดที่แทบไม่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอน ส่งผลให้เกิดความเครียดสะสมอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในโรงเรียนขนาดเล็กที่ครูคนเดียวต้องควบรวมบทบาททั้งงานการเงิน พัสดุ ธุรการ และแม้แต่งานด้านกฎหมาย ภาระงานที่ถาโถมนี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของครูเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพการศึกษาของนักเรียนอีกด้วย เนื่องจากครูไม่มีเวลาเพียงพอในการออกแบบการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ หรือแม้กระทั่งการดูแลพฤติกรรมเด็กอย่างใกล้ชิด ซึ่งก็อาจเป็นเหตุผลของการนำไปสู่การเลือกใช้วิธีการลงโทษที่รุนแรงอันเป็นปลายเหตุของปัญหาความเครียด และส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของนักเรียนและเป็นปัญหาสังคมตามมาในที่สุด   ครูอีสานก็แบกรับภาระการศึกษาที่หนักอึ้ง จากข้อมูลจะเห็นได้ว่า “สัดส่วนครูต่อนักเรียนทั้งหมดในจังหวัด” ซึ่งสะท้อนถึงภาระงานที่ครูแต่ละคนต้องรับผิดชอบในภาคอีสาน เราจะเห็นภาพที่ชัดเจนว่าครูในภูมิภาคนี้กำลังแบกรับภาระที่หนักอึ้งในการขับเคลื่อนการศึกษาของชาติ โดยภาพรวมของทั้ง 20 จังหวัดในภาคอีสาน พบว่าสัดส่วนนักเรียนต่อครูโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1:20 ถึง 1:22 ซึ่งหมายความว่าครูหนึ่งคนจะต้องดูแลนักเรียนถึง 20-22 คน แม้จำนวนครูโดยรวมจะอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานสากล แต่เบื้องลึกกลับน่าเป็นห่วง โรงเรียนหลายแห่งในภาคอีสานกำลังเผชิญวิกฤต ‘ครูขาดแคลน’ โดยเฉพาะโรงเรียนขนาดเล็กกว่า 80% ที่ได้รับผลกระทบหนักหน่วง ปัญหานี้ทำให้แม้จะมีนักเรียนน้อย แต่ครูผู้สอนก็ไม่เพียงพอในแต่ละห้องเรียน ซ้ำร้ายครูยังต้องแบกรับภาระงานธุรการจนแทบไม่มีเวลาดูแลนักเรียนได้อย่างทั่วถึง อย่างไรก็ตาม จังหวัดมหาสารคามโดดเด่นออกมาจากจังหวัดอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด ด้วยสัดส่วนนักเรียนต่อครูที่สูงถึง 1:31 นี่เป็นตัวเลขที่น่าตกใจและสะท้อนให้เห็นว่าครูในจังหวัดมหาสารคามต้องทำงานหนักกว่าครูในจังหวัดอื่นๆ ด้วยจำนวนนักเรียนที่มากขนาดนี้ ครูอาจจะเผชิญกับข้อจำกัดในการให้ความดูแลเอาใจใส่นักเรียนเป็นรายบุคคลได้อย่างเต็มที่ รวมถึงการจัดการชั้นเรียน การตรวจงาน การให้คำปรึกษา และการพัฒนาศักยภาพนักเรียน ซึ่งเป็นไปได้ยากขึ้นอย่างชัดเจน จากสัดส่วนดังกล่าว ซึ่งก็แสดงถึงภาระต่างๆ ที่ครูอีสานต้องแบกรับในแต่ละวันได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นภาระการสอนที่ต้องเข้มข้น เนื่องจากต้องสอนนักเรียนจำนวนมากในแต่ละคาบ ทำให้เวลาในการจัดการกิจกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลาย หรือการให้คำแนะนำรายบุคคลลดลง การสอนอาจเน้นที่การถ่ายทอดความรู้เป็นหลักมากกว่าการพัฒนาทักษะหรือความคิดสร้างสรรค์ นอกจากนี้ยังมีภาระการประเมินผลและการให้คำแนะนำ ซึ่งการตรวจงาน การให้คะแนน และการให้ข้อเสนอแนะแก่นักเรียนจำนวนมากเป็นงานที่ใช้เวลาและพลังงานมหาศาล ครูอาจมีเวลาไม่เพียงพอที่จะให้ข้อเสนอแนะที่ละเอียดและนำไปสู่การพัฒนาที่แท้จริง […]

ครูไทยแบกภาระเกินจริงที่ไม่ใช่แค่สอน พาสำรวจเบิ่ง “แม่พิมพ์ของชาติ” ในอีสานมีมากแค่ไหน⁉️ อ่านเพิ่มเติม »

พาเปิดเบิ่ง ขุมทรัพย์เศรษฐกิจ จาก “ประเพณีแห่เทียนพรรษา” ทั่วอีสาน ที่สร้างรายได้มหาศาล❗กระตุ้นเศรษฐกิจพุ่ง❗

ประเพณีแห่เทียนพรรษา ซึ่งเป็นประเพณีเก่าแก่ที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนานในภาคอีสาน ไม่ได้เป็นเพียงแค่กิจกรรมทางศาสนาและวัฒนธรรมเท่านั้น แต่ได้เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสร้างมูลค่าต่อเศรษฐกิจให้กับภาคอีสานได้อย่างมหาศาล ประเพณีแห่เทียนพรรษา จากพิธีกรรมสู่เทศกาลเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ในอดีตประเพณีแห่เทียนพรรษาเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมทางพุทธศาสนาที่เน้นการถวายเทียนพรรษาแด่พระสงฆ์ในช่วงจำพรรษา ปัจจุบันได้เปลี่ยนเป็น “เทศกาลแห่เทียนพรรษา” ที่ยิ่งใหญ่และดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศจำนวนมาก การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวและพัฒนาของประเพณีท้องถิ่นให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) ซึ่งมีการสร้างมูลค่าเพิ่มจากความคิดสร้างสรรค์ มรดกทางวัฒนธรรม และอัตลักษณ์เฉพาะถิ่น ประเพณีแห่เทียนพรรษานั้นก็ก่อให้เกิดผลกระทบเชิงบวกทางเศรษฐกิจในหลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างรายได้และการจ้างงานอย่างมหาศาล โดยพบว่าเทศกาลแห่เทียนพรรษาในบางจังหวัด อย่างเช่น จังหวัดอุบลราชธานี สามารถสร้างรายได้หมุนเวียนได้หลักพันล้านบาท และมีนักท่องเที่ยวมากกว่า 1.2 แสนคน ส่งผลให้เกิดการจ้างงานทั้งทางตรงและทางอ้อมในหลากหลายสาขาอาชีพ ตั้งแต่ช่างแกะสลักเทียน นักแสดง ศิลปิน พ่อค้าแม่ค้า ผู้ประกอบการโรงแรม ร้านอาหาร ไปจนถึงภาคบริการและคมนาคมขนส่ง การเพิ่มขึ้นของกิจกรรมทางเศรษฐกิจเหล่านี้เป็นการกระจายรายได้สู่ชุมชนท้องถิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้ง ยังเป็นการกระตุ้นอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการ การหลั่งไหลของนักท่องเที่ยวจำนวนมากในช่วงเทศกาลส่งผลให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม ที่พัก ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก และการบริการต่าง ๆ ได้รับประโยชน์โดยตรง การที่โรงแรมมีอัตราการเข้าพักเต็ม 100% สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่สูงมาก ซึ่งกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อรองรับการเติบโตของนักท่องเที่ยวในอนาคตนั่นเอง ประเพณีแห่เทียนพรรษาไม่ได้จำกัดอยู่แค่การแห่เทียนเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงกระบวนการผลิตและสร้างสรรค์ผลงานเทียนพรรษา ซึ่งต้องอาศัยทักษะฝีมือ ความประณีต และภูมิปัญญาของช่างแกะสลักเทียน การพัฒนากระบวนการเหล่านี้ให้มีมาตรฐานและเป็นที่ยอมรับระดับสากลสามารถยกระดับ “สินค้า” ทางวัฒนธรรมนี้ให้มีมูลค่าสูงขึ้น และสร้างความภาคภูมิใจในฝีมือช่างท้องถิ่น การส่งเสริม Soft Power และอัตลักษณ์ท้องถิ่น การจัดงานเทศกาลแห่เทียนพรรษาอย่างยิ่งใหญ่เป็นเครื่องมือสำคัญในการส่งเสริม Soft Power ของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำเสนอความงดงามของศิลปะ ประเพณี และวัฒนธรรมอีสานสู่สายตานักท่องเที่ยวทั่วโลก ซึ่งเทียนพรรษาแต่ละต้นที่ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงเป็นตัวแทนของความคิดสร้างสรรค์ ความศรัทธา และอัตลักษณ์ของท้องถิ่น ซึ่งสามารถสร้างการจดจำและความประทับใจให้กับผู้มาเยือน และกระตุ้นให้เกิดการเดินทางกลับมาเยือนอีกในอนาคต และยังเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก การจัดงานในลักษณะ Night Parade และตลาดวัฒนธรรม (Cultural Market) ช่วยสร้างโอกาสให้กับผู้ประกอบการรายย่อย พ่อค้าแม่ค้าชุมชน และกลุ่ม OTOP ในการจำหน่ายสินค้าและบริการของตนเองโดยตรง ทำให้เกิดการกระจายรายได้ไปสู่ระดับครัวเรือนและชุมชน ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ประเพณีแห่เทียนพรรษาถือเป็นการแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของ Soft Power และอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนของภาคอีสาน การแปลงจากพิธีกรรมทางศาสนาไปสู่เทศกาลเศรษฐกิจสร้างสรรค์ได้สร้างรายได้ การจ้างงาน และการพัฒนาห่วงโซ่มูลค่าทางวัฒนธรรมอย่างมหาศาล โดยมีส่วนสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในท้องถิ่น การลงทุนในการส่งเสริมและพัฒนาเทศกาลในลักษณะนี้อย่างต่อเนื่องจะเป็นกุญแจสำคัญในการปลดล็อกศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างเต็มที่ และสร้างชื่อเสียงให้กับวัฒนธรรมไทยในเวทีโลกได้อย่างภาคภูมิใจนั่นเอง   อ้างอิงจาก: – UBON NOW อุบลนาว – สำนักข่าวไทย – กรุงเทพธุรกิจ – THAIRATH   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #ประเพณีแห่เทียนพรรษา #แห่เทียนพรรษา

พาเปิดเบิ่ง ขุมทรัพย์เศรษฐกิจ จาก “ประเพณีแห่เทียนพรรษา” ทั่วอีสาน ที่สร้างรายได้มหาศาล❗กระตุ้นเศรษฐกิจพุ่ง❗ อ่านเพิ่มเติม »

พาเปิดเบิ่ง แผนที่ขุมทรัพย์ 9 จุดไทยส่งไฟฟ้าให้กัมพูชา โกยเงินเข้าประเทศ 48 ล้านต่อเดือน

ท่ามกลางประเด็นพิพาทระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา แม้จะมีเสียงยืนยันจากฝ่ายไทยถึงความพยายามในการเจรจา แต่การตอบโต้ที่ร้อนแรง อย่างเช่น การปิดด่านชายแดน และการประกาศตัดไฟฟ้า-อินเทอร์เน็ต ได้สะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่ยังคงเปราะบางในทางปฏิบัติ การซื้อขายกระแสไฟฟ้าที่หล่อเลี้ยงพื้นที่ชายแดนของกัมพูชาด้วยเงินกว่า 48 ล้านบาทต่อเดือน จาก 9 จุดเชื่อมโยงไฟฟ้าของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT) แม้ความขัดแย้งทางการเมืองจะปะทุขึ้นเป็นระยะ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) เป็นผู้เล่นหลักในการส่งออกไฟฟ้าไปยังกัมพูชาผ่านจุดเชื่อมโยงในพื้นที่ภาคตะวันออกและภาคอีสานของไทย 9 จุดไทยที่ส่งไฟฟ้าให้กัมพูชา อยู่ที่ไหนบ้าง⁉️ เทศบาลบ้านคลองลึก อำภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว (วงจจรที่ 1 และ วงจรที่ 2) ปริมาณกำลังไฟฟ้าสูงสุดตามสัญญา : 20.0 MW สถานีไฟฟ้าต้นทาง : สถานีไฟฟ้าอรัญประเทศ 2 ค่าไฟฟ้าเฉลี่ย/เดือนในปี 2567 : วงจรที่ 1 : 14,332,546.20 บาท และวงจรที่ 2 : 12,854,255.39 บาท บ้านด่าน ตำบลด่าน อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ ปริมาณกำลังไฟฟ้าสูงสุดตามสัญญา : 3.5 MW สถานีไฟฟ้าต้นทาง : สถานีไฟฟ้าปราสาท 1 ค่าไฟฟ้าเฉลี่ย/เดือนในปี 2567 : 2,205,183.80 บาท บ้านหาดเล็ก ตำบลหาดเล็ก อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด ปริมาณกำลังไฟฟ้าสูงสุดตามสัญญา : 10.0 MW สถานีไฟฟ้าต้นทาง : สถานีไฟฟ้าคลองใหญ่ ค่าไฟฟ้าเฉลี่ย/เดือนในปี 2567 : 9,476,227.31 บาท บ้านซับตารี ตำบลทุ่งขนาน อำเภอสอยดาว จังหวัดจันทบุรี ปริมาณกำลังไฟฟ้าสูงสุดตามสัญญา : 3.0 MW สถานีไฟฟ้าต้นทาง : สถานีไฟฟ้าสอยดาว ค่าไฟฟ้าเฉลี่ย/เดือนในปี 2567 : 2,041,783.55 บาท บ้านสวนสัม อำเภอสอยดาว จังหวัดจันทบุรี ปริมาณกำลังไฟฟ้าสูงสุดตามสัญญา : 1.0 MW สถานีไฟฟ้าต้นทาง : สถานีไฟฟ้าโป่งน้ำร้อน 2 (ชั่วคราว) ค่าไฟฟ้าเฉลี่ย/เดือนในปี 2567 : 1,607,943.24 บาท บ้านเขาดิน อำเภอคลองหาด จังหวัดสระแก้ว ปริมาณกำลังไฟฟ้าสูงสุดตามสัญญา : 8.0 MW สถานีไฟฟ้าต้นทาง : สถานีไฟฟ้าวังน้ำเย็น ค่าไฟฟ้าเฉลี่ย/เดือนในปี 2567

พาเปิดเบิ่ง แผนที่ขุมทรัพย์ 9 จุดไทยส่งไฟฟ้าให้กัมพูชา โกยเงินเข้าประเทศ 48 ล้านต่อเดือน อ่านเพิ่มเติม »

พาย้อนเบิ่ง ปมขัดแย้ง 46 ปี จากหักมิตรรักสู่ศัตรู “อิสราเอล-อิหร่าน” จุดฉนวนวิกฤตพลังงานโลกที่ไทยถึงต้องจับตา

วิกฤตตะวันออกกลางปะทุ อิสราเอลเปิดฉาก “Operation Rising Lion” ถล่มอิหร่าน ส่งผลให้สงครามทวีความรุนแรง กลางเดือนมิถุนายน 2025 สถานการณ์ในตะวันออกกลางเข้าสู่จุดเดือดสูงสุด เมื่ออิสราเอลได้เปิดปฏิบัติการโจมตีครั้งใหญ่ในอิหร่านภายใต้รหัส “Operation Rising Lion” โดยมีเป้าหมายทำลายโครงสร้างพื้นฐานนิวเคลียร์ โรงงานผลิตมิสไซล์ และผู้นำทางทหารของอิหร่าน รายงานยืนยันการเสียชีวิตของ นายพลฮอสเซน ซาลามี ผู้บัญชาการกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม และนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์คนสำคัญ ซึ่งถือเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ของอิหร่าน การโจมตีครั้งนี้จุดชนวนให้อิหร่านตอบโต้กลับทันที ด้วยการยิงมิสไซล์ถล่มเมืองเทลอาวีฟและไฮฟาทางตอนเหนือของอิสราเอลอย่างรุนแรง สร้างความเสียหายอย่างหนักต่อโรงไฟฟ้าและโรงกลั่นน้ำมันในไฮฟา และมีรายงานผู้เสียชีวิตหลายราย นอกจากนี้ ยังมีข่าวว่าอาคารสถานีโทรทัศน์ของรัฐบาลอิหร่านในกรุงเตหะรานก็ตกเป็นเป้าหมายของการโจมตีด้วยเช่นกัน หัวใจของความขัดแย้งเชิงยุทธศาสตร์นี้ยังคงอยู่ที่โครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน อิสราเอลมองว่าการที่อิหร่านครอบครองอาวุธนิวเคลียร์จะกลายเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อการดำรงอยู่ของตน ขณะที่อิหร่านยืนกรานว่าโครงการนิวเคลียร์มีวัตถุประสงค์เพื่อสันติ เช่น การผลิตพลังงานและการแพทย์ แต่เคยมีคำกล่าวบางส่วนจากผู้นำอิหร่านที่เคยแย้มถึงความเป็นไปได้ในการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์เพื่อการป้องปราม ได้ยิ่งเพิ่มความกังวลและเชื้อไฟให้กับสถานการณ์ที่ตึงเครียดอยู่แล้วให้ปะทุขึ้นไปอีกขั้น นี่ไม่ใช่แค่การปะทะ แต่คือจุดสูงสุดของความขัดแย้งที่ยาวนานกว่า 46 ปี ระหว่างสองขั้วอำนาจในตะวันออกกลาง แม้เหตุการณ์จะเกิดห่างไกลออกไปหลายพันกิโลเมตร แต่คลื่นกระแทกกลับสะเทือนมาถึงประเทศไทย โดยเฉพาะหัวใจของแรงงานไทยอย่างภาคอีสาน จากมิตรสู่ศัตรู รอยร้าวประวัติศาสตร์ที่นำไปสู่ความเดือดระอุ ความสัมพันธ์อิสราเอล-อิหร่านเคยรุ่งเรืองด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจก่อนปี 1979 หลังการปฏิวัติอิสลาม อิหร่านได้ประกาศตนเป็นศัตรูถาวรของรัฐยิว โดยไม่ยอมรับการมีอยู่ของอิสราเอล และเริ่มให้การสนับสนุน กลุ่มต่อต้านอิสราเอล เช่น Hezbollah ในเลบานอน Hamas ในฉนวนกาซา Houthi ในเยเมน รวมถึงกองกำลังติดอาวุธในอิรักและซีเรีย ทำให้ความขัดแย้งระหว่างทั้งสองประเทศกลายเป็นสงครามตัวแทนที่แผ่ขยายไปทั่วภูมิภาค   ในปัจจุบันความขัดแย้งในภูมิภาคใดภูมิภาคหนึ่ง โดยเฉพาะตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นเส้นเลือดใหญ่ของพลังงานโลก ส่งผลกระทบมาถึงประเทศปลายทางอย่างประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อความตึงเครียดพุ่งสูง ความเสี่ยงในการขนส่งน้ำมันผ่านช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางสำคัญที่ลำเลียงน้ำมันกว่า 20% ของโลกก็เพิ่มขึ้นตามมา ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบพุ่งทะยานกดดันต้นทุนการผลิต การขนส่ง และค่าครองชีพภายในประเทศ เศรษฐกิจไทยที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลักต้องเผชิญกับภาวะชะลอตัว เนื่องจากต้นทุนโลจิสติกส์ที่สูงขึ้น และความกังวลของคู่ค้าต่อสถานการณ์ความไม่แน่นอนในตลาดโลก ผลกระทบจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นและต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคปรับตัวสูงขึ้น กดดันให้ประชาชนต้องแบกรับภาระค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นไปอีก อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อแรงงานไทยในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะในอิสราเอลและอิหร่าน ซึ่งเป็นแหล่งรายได้สำคัญของคนจากภาคอีสาน จากข้อมูลล่าสุด มีแรงงานไทยในอิสราเอลมากถึง 24,494 คน และในอิหร่านอีกราว 90 คน ที่น่าตกใจคือ กว่า 80% ของแรงงานเหล่านี้มาจากภาคอีสาน ไม่ว่าจะเป็นครราชสีมา อุดรธานี ขอนแก่น อุบลราชธานี และมุกดาหาร ซึ่งพวกเขาเหล่านี้ทำงานในภาคเกษตร ปศุสัตว์ และก่อสร้าง ส่งเงินกลับบ้านเพื่อจุนเจือครอบครัว สร้างบ้าน ส่งลูกเรียน และปลดหนี้สิน นี่คือก็ถือได้ว่าคือกระดูกสันหลังของครอบครัวนั่นเอง เมื่อสถานการณ์ตึงเครียด รัฐบาลอิสราเอลอาจสั่งอพยพหรือจำกัดพื้นที่แรงงาน ส่งผลให้การส่งเงินกลับบ้านหยุดชะงักทันที ครอบครัวในอีสานนับหมื่นต้องเผชิญกับปัญหาทางการเงินอย่างไม่ทันตั้งตัว หากสถานการณ์ลุกลามจนกลายเป็นสงครามเต็มรูปแบบ และแรงงานนับหมื่นต้องอพยพกลับไทย นั่นอาจหมายถึงการที่ตลาดแรงงานในประเทศต้องรองรับแรงงานจำนวนมหาศาลอย่างกะทันหัน ซึ่งเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันยังไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะดูดซับแรงงานเหล่านี้ได้ทั้งหมด การหายไปของรายได้จากแรงงานต่างแดนจะสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาคอีสาน ตั้งแต่ร้านค้าชุมชน ตลาดสด ไปจนถึงหนี้สินครัวเรือนและการลงทุนในท้องถิ่นนั่นเอง อ้างอิงจาก: – ประชาชาติธุรกิจ – Thai PBS – บีบีซีไทย   ติดตาม

พาย้อนเบิ่ง ปมขัดแย้ง 46 ปี จากหักมิตรรักสู่ศัตรู “อิสราเอล-อิหร่าน” จุดฉนวนวิกฤตพลังงานโลกที่ไทยถึงต้องจับตา อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง🇰🇭กัมพูชากับความมั่นคงด้านพลังงาน “เส้นบางๆ ของการพึ่งพา”

  ฮู้บ่ว่า ? หลังการงดนำเข้าไฟฟ้าจากไทยของกัมพูชา ได้ดำเนินการตามประกาศของรัฐบาล กัมพูชาจึงหันไปเพิ่มสัดส่วนการนำเข้าจากเวียดนามเพื่อชดเชยไฟฟ้าจากไทย เป็นเหตุให้หลายพื้นที่ไฟฟ้าไม่เสถียร และปอยเปตไฟฟ้ากว่า 20 นาที   ข้อมูลของคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านไฟฟ้า Electricity Advisory Committee (EAC) 2023 เปิดเผยว่ากัมพูชาต้องนำเข้าไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้านถึง 66.73% ขณะที่ผลิตได้เองภายในประเทศเพียง 33.27% โดยประเทศที่ส่งออกไฟฟ้าเข้ากัมพูชามากที่สุดคือ ลาว 57.46% เวียดนาม 25.09% และไทย 17.45% นอกจากนี้เมื่อเดือนตุลาคม 2024 กัมพูชาได้เซ็นสัญญาซื้อไฟฟ้าเพิ่มจากประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มอีก มากกว่า 50% หรือ 600 เมกะวัตต์ ซึ่งไฟฟ้าส่วนใหญ่ที่นำเข้าจากไทยจะให้บริการประชาชนในพื้นที่จังหวัดบริเวณชายแดนไทยกัมพูชาเป็นส่วนใหญ่ รวมทั้งในเมืองปอยเปต ซึ่งที่เป็นที่ตั้งของบ่อนการพนัน โรงแรม และที่ทำการของบรรดาของธุรกิจสแกรมเมอร์ . แม้กัมพูชามีความพยายามจะมีความพยายามผลิตพลังงานหมุนเวียนในประเทศให้มากถึง 70% ภายในปี 2573 ภายในปี 2030 และจัดหาไฟฟ้าให้ครอบคลุมกับประชาชนทุกครัวเรือน 100% ภายในปี 2020 แต่ก็ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากการขาดโครงสร้างพื้นฐานด้านไฟฟ้าที่เชื่อถือได้ในประเทศและโครงข่ายไฟฟ้าแห่งชาติที่ไม่สามารถเข้าถึงหมู่บ้านในชนบทหลายแห่ง . ความล้าสมัยของการผลิตไฟฟ้าในประเทศและความน่าเชื่อถือ ทำให้มีความพยายามลงทุนเพื่อทำให้มีความทันสมัยเพิ่มขีดความสามารถในการส่งไฟฟ้าแรงสูง โดยมีค่าใช้จ่ายที่คาดการณ์ไว้ถึง 1,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ก็ยังไม่สามารถลงทุนเพิ่มได้เนื่องจากปัญหาด้านการหาแหล่งเงินทุนและงบประเทศ . สำหรับกัมพูชานับว่าเป็นประเทศที่มีอัตราค่าไฟต่อหน่วยสูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลกโดยข้อมูลจาก CEIC Data ระบุว่า ค่าไฟปัจจุบัน (8 มกราคม 2568) ของกัมพูชาอยู่ที่ 780 เรียลกัมพูชา หรือประมาณ 6.70 บาทต่อหน่วย เป็นรองเพียงแค่ฟิลิปปินส์ที่ 7.10 บาทต่อหน่วย และสิงคโปร์ 8.01 บาทต่อหน่วย และคาดว่าจะแพงขึ้นกว่านี้เมื่อไฟฟ้าหายไปจากระบบ และต้องเร่งซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ แทน ซึ่งทำให้กัมพูชาไม่ได้มีอำนาจต่อรอง เพราะต้องพึ่งพาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

พามาเบิ่ง🇰🇭กัมพูชากับความมั่นคงด้านพลังงาน “เส้นบางๆ ของการพึ่งพา” อ่านเพิ่มเติม »

พามาเบิ่ง โรงงานผลิตเครื่องดื่มของเครือบุญรอด และไทยเบฟ

ภาค รายได้: ล้านบาท ภาคอีสาน 52,368 ภาคกลาง 43,056 ภาคใต้ 3,084 ภาคเหนือ 29,615 กรุงเทพมหานครและปริมณฑล 124,097 เครือ ชื่อบริษัท รายได้รวม (2567) (ล้านบาท) %YoY รายได้ กำไรขาดทุน (ล้านบาท) %YoY กำไร จังหวัด ผลิต ไทยเบฟเวอเรจ บริษัท อธิมาตร จำกัด 4,415 3.6 144 -4.9 บุรีรัมย์ กลั่นสุรา บริษัท เอส.เอส.การสุรา จำกัด 4,751 1.0 134 -11.8 อุบลราชธานี กลั่นสุรา บริษัท แก่นขวัญ จำกัด 5,015 -0.4 117 -33.9 ขอนแก่น กลั่นสุรา บริษัท เทพอรุโณทัย จำกัด 4,424 1.5 43 -57.1 หนองคาย กลั่นสุรา บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) (โรงงานนครราชสีมา) นครราชสีมา เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ บุญรอดบริวเวอรี่ บริษัท ขอนแก่น บริวเวอรี่ จำกัด 31,962 19.1 876 123.3 ขอนแก่น เบียร์, น้ำดื่ม, โซดา บริษัท มหาสารคาม เบเวอเรช จำกัด 1,801 -5.2 110 -0.6 มหาสารคาม น้ำดื่ม, โซดา โรงงานเครือ รายได้รวม (ล้านบาท) กำไรขาดทุน (ล้านบาท) จำนวนจังหวัดที่มีการตั้งโรงงาน บุญรอดบริวเวอรี่ 110,768 4,135 8 (8 โรงงาน) ไทยเบฟเวอเรจ 127,546 3,057 16 (20 โรงงาน) ไทยเบฟเวอเรจ (เสริมสุข) 13,905 236 6 (7 โรงงาน) หมายเหตุ: ข้อมูลรายได้รวมของบริษัทเป็นการนับรายได้เฉพาะรายได้จากบริษัทที่มีโรงงานเท่านั้น ไม่ได้เป็นการนับรายได้รวมทั้งหมดจากทุกธุรกิจ เครื่องดื่ม หนึ่งในสินค้าอุปโภคบริโภคที่อยู่คู่กับชีวิตประจำวันของผู้คนไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือไม่ก็ตาม เราทุกคนล้วนต้องบริโภคเครื่องดื่มในแต่ละวัน สินค้าประเภทนี้มีผู้เล่นจำนวนมากในตลาด แต่หากพูดถึงแบรนด์รายใหญ่ที่คุ้นหูคนไทย ชื่อที่มักจะถูกนึกถึงก่อนเสมอก็คือ “บุญรอดบริวเวอรี่” หรือ

พามาเบิ่ง โรงงานผลิตเครื่องดื่มของเครือบุญรอด และไทยเบฟ อ่านเพิ่มเติม »

“ทัพไทย” เบอร์ 14 โลก🏆พาส่องเบิ่ง “กองกำลังรบ” เพื่อนบ้านในลุ่มน้ำโขง และบทบาทสำคัญของกองกำลังสุรนารี

ทัพไทยอันดับ 14 โลก พลานุภาพทางทหารในลุ่มน้ำโขง และบทบาทสำคัญของกองกำลังสุรนารี ต่อความมั่นคง เศรษฐกิจ และธุรกิจ สถานการณ์ชายแดนเป็นประเด็นที่มีความอ่อนไหวและมีความสำคัญยิ่งต่อความมั่นคงของชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ตามแนวชายแดนในลุ่มน้ำโขง ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เผชิญกับความท้าทายด้านความมั่นคงในหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นปัญหายาเสพติด การค้ามนุษย์ และที่สำคัญ คือ การลักลอบเข้าเมือง หรือแม้แต่ความขัดแย้งภายในประเทศเพื่อนบ้านที่อาจส่งผลกระทบข้ามมายังฝั่งไทย จากข้อมูล Global Firepower 2025 กองทัพไทยถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 14 ของโลก ด้วยจำนวนกำลังพลประจำการกว่า 363,850 นาย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของกองทัพไทยในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในเทคโนโลยีทางการทหารที่ทันสมัย การฝึกซ้อมที่เข้มข้น และยุทธศาสตร์การป้องกันประเทศที่ปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอด พลานุภาพนี้ไม่เพียงแต่เป็นเครื่องมือในการปกป้องอธิปไตยเท่านั้น แต่ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและสร้างเสถียรภาพให้กับเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศอีกด้วย เมื่อนำข้อมูลมาเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในลุ่มน้ำโขง พบว่าจีนเป็นมหาอำนาจทางทหารอันดับ 1 ของโลก (2,035,000 นาย) ตามมาด้วยเวียดนามอันดับ 10 (600,000 นาย) กัมพูชาอันดับ 23 (221,000 นาย) เมียนมาอันดับ 38 (150,000 นาย) และลาวอันดับ 53 (130,000 นาย) โดยการจัดอันดับและจำนวนกำลังพลเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความหลากหลายของพลานุภาพทางทหารในภูมิภาค และชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นที่ไทยจะต้องรักษาสมดุลทางอำนาจและเสริมสร้างความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อรักษาสันติภาพและเสถียรภาพนั่นเอง   บทบาทสำคัญของกองกำลังสุรนารีมีอะไรบ้าง⁉️ ในด้านของความมั่นคงภายในประเทศและชายแดน “กองกำลังสุรนารี” ซึ่งมีที่ตั้งและขอบเขตความรับผิดชอบครอบคลุมพื้นที่ชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย (อย่างเช่น บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี) มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการปกป้องอธิปไตยและรักษาความสงบสุขในพื้นที่ ภารกิจหลักของกองกำลังสุรนารีไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การป้องกันการรุกรานจากภายนอกเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการแก้ไขปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนและการดำเนินธุรกิจในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็น การปราบปรามยาเสพติด การค้ามนุษย์ การลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งตามแนวชายแดน และการพัฒนาและช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ห่างไกล หน่วยงานหลักในสังกัดของกองกำลังสุรนารี เช่น หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 26 และ 23 ที่รับผิดชอบพื้นที่ชายแดนในจังหวัดบุรีรัมย์และสุรินทร์ รวมถึงหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 12 ซึ่งมีภารกิจในการสนับสนุนการปฏิบัติการของหน่วยทหารหลัก แสดงให้เห็นถึงการจัดโครงสร้างที่ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพในการรับมือกับภัยคุกคามในหลากหลายรูปแบบ   ความมั่นคงชายแดนที่เข้มแข็งจากบทบาทของทัพไทยและกองกำลังสุรนารีส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจและเศรษฐกิจอย่างไร⁉️ เมื่อพื้นที่ชายแดนมีความปลอดภัยและมีเสถียรภาพ ก็จะสามารถสร้างความเชื่อมั่นในการลงทุนและการค้าชายแดน ผู้ประกอบการเองก็จะมีความมั่นใจในการเข้ามาลงทุนและดำเนินธุรกิจมากขึ้นนั่นเอง อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมการค้าชายแดนที่เติบโตอย่างยั่งยืน หรือแม้กระทั่งการส่งเสริมการท่องเที่ยว ความปลอดภัยก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่สุดในการตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยว หากพื้นที่ชายแดนมีความมั่นคง การท่องเที่ยวในจังหวัดชายแดนภาคอีสานก็จะเติบโต ส่งผลให้เกิดการจ้างงานและรายได้ให้กับคนในพื้นที่   การที่ทัพไทยติดอันดับ 14 ของโลก ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขที่น่าภาคภูมิใจเท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงขีดความสามารถในการปกป้องประเทศชาติและรักษาผลประโยชน์ของชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ และในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน “ช่องบก” จ.อุบลราชธานีนี้ ก็มีกองกำลังสุรนารีเป็นหัวใจสำคัญในการดูแลความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนภาคตอีสาน ซึ่งบทบาทของกองกำลังเหล่านี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การทหาร แต่ยังครอบคลุมไปถึงมิติทางสังคม เศรษฐกิจ และการพัฒนา การรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงในภูมิภาคนี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่เพื่อปกป้องอธิปไตยเท่านั้น แต่ยังเพื่อสร้างรากฐานที่มั่นคงสำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจและธุรกิจ สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ชายแดนอย่างยั่งยืนนั่นเอง   อ้างอิงจาก: – Global Fire Power 2025 – TNN  

“ทัพไทย” เบอร์ 14 โลก🏆พาส่องเบิ่ง “กองกำลังรบ” เพื่อนบ้านในลุ่มน้ำโขง และบทบาทสำคัญของกองกำลังสุรนารี อ่านเพิ่มเติม »

ISAN Insight ชวนมาเฮ็ดงาน THE STANDARD VOLUNTEER ประจำปี 2568  ในงาน The Secret Sauce Business Weekend อีสาน 2025

THE STANDARD VOLUNTEER ขอเชิญชวนนักศึกษาที่สนใจและต้องการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ด้านการจัดการงานอีเวนต์ เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ THE STANDARD EVENT VOLUNTEER ประจำปี 2568  ในงาน The Secret Sauce Business Weekend อีสาน 2025 งานสัมมนาธุรกิจระดับภูมิภาคที่ใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จัดโดย THE STANDARD ร่วมกับพาร์ตเนอร์ชั้นนำมากมาย 📍 วันที่จัดงาน: 4-5 กรกฎาคม 2568 ณ จังหวัดขอนแก่น ภายในงานจะพบกับผู้นำธุรกิจระดับประเทศ เวทีเสวนาเข้มข้นจาก The Secret Sauce พร้อมกิจกรรม Business Trip และ Business Matching โดยเปิดพื้นที่ให้กับนักธุรกิจ นักลงทุน และคนรุ่นใหม่ ได้มาร่วมเรียนรู้และสร้างเครือข่ายทางธุรกิจอย่างเข้มข้นตลอด 2 วัน คุณสมบัติของผู้สมัคร: 🔘 อายุ 20 ปีขึ้นไป 🔘 ไม่จำกัดคณะหรือสาขาวิชาที่ศึกษา 🔘 หากกำลังศึกษาอยู่ในคณะวิทยาการจัดการ / การจัดการอีเวนต์ / การจัดการโรงแรม จะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ 🔘 โครงการฝึกงานนี้จัดขึ้นตามนโยบายของบริษัท เพื่อส่งเสริมและพัฒนาทักษะให้กับผู้เข้าร่วม โดยไม่มีการจ่ายค่าตอบแทน ทั้งนี้ผู้เข้าร่วมจะได้รับอาหารทุกมื้อ ตลอดระยะเวลา 2 วันของกิจกรรม พร้อมใบเกียรติบัตรรับรองการเข้าร่วม   สิ่งที่คุณจะได้รับจากโครงการ: 📌 ลงมือปฏิบัติงานจริงกับงานอีเวนต์ขนาดใหญ่ระดับมืออาชีพ 📌 สัมผัสประสบการณ์การทำงานร่วมกับผู้นำทางความคิดระดับประเทศ 📌 มีส่วนร่วมในกระบวนการทำงานของทีม THE STANDARD EVENT อย่างใกล้ชิด 📌 พบปะผู้คน สร้างคอนเนกชัน และเรียนรู้ทักษะ Soft Skill ที่ใช้ได้จริง   👉คลิกเพื่อ สมัคร   📌 (10คน) Volunteer Coordinator    หน้าที่ : ประสานงาน ดูแล และอำนวยความสะดวกให้กับ Speaker ในส่วนของ Main Stage, Expertise Stage และ Business Matching ⏰ตารางเวลา 4 July 2025 11.00-12.30 น ประชุมรับบรีฟ นัดหมายการทำงานทั้ง 2 วัน 14.00-21.00 น Business Matching 5 July 2025   

ISAN Insight ชวนมาเฮ็ดงาน THE STANDARD VOLUNTEER ประจำปี 2568  ในงาน The Secret Sauce Business Weekend อีสาน 2025 อ่านเพิ่มเติม »

สหรัฐฯ ลงดาบ! แผงโซลาร์กัมพูชาโดนภาษี 3,521%

ฮู้บ่ว่า? กัมพูชาอาจถูกสหรัฐฯ สั่งเก็บภาษีนำเข้าแผงโซลาร์เซลล์สูงถึง 3,521%    . ในขณะที่โลกเร่งเดินหน้าเข้าสู่ยุคพลังงานสะอาด สหรัฐอเมริกาได้จุดชนวนความสั่นสะเทือนในอุตสาหกรรมแผงโซลาร์เซลล์อีกครั้ง หลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าแผงโซลาร์เซลล์จากกัมพูชาในอัตราสูงสุดถึง 3,521% ซึ่งถือเป็นหนึ่งในการดำเนินการด้านภาษีที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายปี   . มาตรการภาษีดังกล่าวเกิดจากผลการสอบสวนที่พบว่า บริษัทจีนใช้ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ กัมพูชา ไทย เวียดนาม และมาเลเซีย ซึ่งเป็นฐานการผลิตแผงโซลาร์เซลล์ เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากต้นทุนการส่งออก ที่เป็นผลมาจากสงครามทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ   . สาเหตุที่กัมพูชาถูกประกาศการขึ้นภาษีในอัตราสูงสุด เนื่องจาก บริษัทผู้ผลิตในกัมพูชา เช่น Solar Long และ Hounen Solar ได้ถอนตัวจากการให้ความร่วมมือในกระบวนการสอบสวน ส่งผลให้กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ มองว่าขาดความโปร่งใส และได้กำหนดภาษีนำเข้าในอัตราที่สูงสุด ส่งผลให้การส่งออกแผงโซลาร์เซลล์ของกัมพูชาอาจได้รับผลกกระทบอย่างรุนแรง เนื่องจากการส่งออกแผงโซลาร์เซลล์ของกัมพูชาพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ กว่า 97.7% ของการส่งออกทั้งหมด   . ประเทศไทยเอง ก็ได้รับการขึ้นภาษีการนำเข้าแผงโซลาร์เซลล์จากสหรัฐฯ ในอัตราที่สูงด้วยเช่นกัน โดยสูงถึง 375% แต่จากการตรวจสอบพบว่า สินค้าที่ถูกขึ้นภาษีจากสหรัฐฯ จะเป็นสินค้าที่ถูกส่งออกโดยบริษัทจีน ที่ได้ย้ายฐานการผลิตมาในประเทศไทย    . ผลกระทบต่อการส่งออกโซลาร์เซลล์ของไทยอาจอยู่ในระดับที่รุนแรง เนื่องจากไทยมีมูลค่าการส่งออกแผงโซลาร์เซลล์และสัดส่วนการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ที่สูง ซึ่งอาจสร้างผลกระทบในวงกว้างสู่ผู้ผลิตในประเทศที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานเดียวกัน ในกรณีที่บริษัทดังกล่าวมีการใช้สินค้าและวัตถุดิบในประเทศในการผลิตสินค้า  แต่ผลกระทบต่อผู้ผลิตอาจเบาลงลงหากบริษัทดังกล่าวใช้วัตถุดิบนำเข้าหรือใช้วัตถุดิบจากโรงงานจีนที่เข้ามาตั้งในประเทศไทย และอาจเป็นผลทำให้ผู้ผลิตในประเทศสามารถเติบโตได้ จากข้อได้เปรียบด้านต้นทุนการส่งออก   ที่มา : The guardian, Reuters, Trademap 🇺🇸สหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าไทย🇹🇭 ใครกระทบ? และภาษี 36% คำนวณจากอะไร? สินค้าส่งออกการเกษตรจากอีสานจะกระทบหรือไม่❓   Cambodia อาจเป็น (S)cambodia เมื่ออุตสาหกรรม Scam มีรายได้กว่า 40% ของ GDP กัมพูชา

สหรัฐฯ ลงดาบ! แผงโซลาร์กัมพูชาโดนภาษี 3,521% อ่านเพิ่มเติม »

เมื่อ ‘คนไทย’ ไม่แพ้ใคร…แม้แต่เรื่องงาน‼️ พาส่องเบิ่ง ชั่วโมงทำงานของคนไทยและเพื่อนบ้านอาเซียน

แม้ว่าเศรษฐกิจไทยในภาพรวมจะมีความมั่นคงในระดับหนึ่ง แต่หากมองลึกลงไปถึงชีวิตแรงงาน จะพบว่าความมั่นคงนั้นอาจยังไปไม่ถึงพวกเขา  จากข้อมูลล่าสุดในปี 2567 คนไทยมีชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยอยู่ที่ 42.5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยของหลายประเทศในอาเซียน และสูงเป็นอันดับ 5 รองจากกัมพูชา สิงคโปร์ มาเลเซีย และบรูไน ขณะที่ประเทศอื่นอย่างอินโดนีเซียหรือฟิลิปปินส์ ซึ่งมีระบบแรงงานใกล้เคียง กลับมีชั่วโมงการทำงานที่ต่ำกว่าชัดเจน เมื่อย้อนดูข้อมูลย้อนหลัง 12 ปี จะพบว่าแนวโน้มชั่วโมงการทำงานของคนไทยมีความเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ จะเห็นได้ว่าในช่วงปี 2556 คนไทยเคยทำงานเฉลี่ยสูงถึง 44.9 ชั่วโมงต่อสัปดาห์เลยทีเดียว จากนั้นลดลงอย่างต่อเนื่องถึงจุดต่ำสุดที่ 40.8 ชั่วโมงในปี 2563 ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศต้องเผชิญกับผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 อย่างเต็มที่ และจะเห็นได้ว่าหลังจากนั้น ชั่วโมงการทำงานกลับเพิ่มขึ้นอีกครั้งในช่วงปี 2564-2567 ซึ่งอาจหมายถึงความจำเป็นของแรงงานที่ต้องทำงานมากขึ้นเพื่อชดเชยรายได้ที่หายไปในช่วงวิกฤต และเพื่อให้เพียงพอกับค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนั่นเอง การที่คนไทยต้องทำงานมากกว่าหลายประเทศนั้น ไม่ได้หมายความว่าเราจะมีประสิทธิภาพมากกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศที่มีชั่วโมงการทำงานใกล้เคียงกันอย่างสิงคโปร์หรือมาเลเซีย จะพบว่าผลิตภาพแรงงานของไทยยังตามหลังอยู่ สะท้อนถึงระบบเศรษฐกิจที่ยังอาศัยแรงงานในภาคที่มีมูลค่าเพิ่มต่ำ ทั้งการผลิตที่ไม่เน้นนวัตกรรม หรือภาคบริการที่ยังอยู่ในระดับพื้นฐาน ทำให้การทำงานในแต่ละชั่วโมงของแรงงานไทยไม่สามารถสร้างผลผลิตได้อย่างคุ้มค่า ส่งผลให้รายได้ต่อชั่วโมงต่ำ และต้องชดเชยด้วยการทำงานเพิ่มมากขึ้นนั่นเอง โดยสิ่งที่น่ากังวลไปยิ่งกว่านั้นคือผลกระทบทางสังคมและคุณภาพชีวิตของแรงงานชาวไทย ชั่วโมงการทำงานที่สูงนั่นต้องแลกมาด้วยเวลาที่ลดลงในการดูแลครอบครัว พัฒนาทักษะตนเอง หรือแม้แต่การพักผ่อนให้เพียงพอ ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจในระยะยาว โดยเฉพาะในยุคที่โลกกำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่เศรษฐกิจฐานความรู้ ประเทศต่าง ๆ เริ่มให้ความสำคัญกับแนวคิด “ทำงานอย่างชาญฉลาด มากกว่าทำงานหนัก” หรือ Work smart, not work hard แต่ประเทศไทยยังคงวนเวียนอยู่ในวัฒนธรรมการทำงานหนักเพื่อแลกกับรายได้ที่ยังไม่มั่นคงเพียงพอ การทำงานที่ยาวนานของแรงงานส่วนหนึ่งสะท้อนถึงระบบค่าจ้างขั้นต่ำที่ยังไม่เพียงพอกับค่าครองชีพในเมืองใหญ่ นอกจากนี้แรงงานจำนวนมากยังทำงานแบบชั่วคราวหรือพาร์ทไทม์ ซึ่งมีความยืดหยุ่นสูงแต่จะไม่มีหลักประกันทางสังคม และไม่มีสวัสดิการใดรองรับหากเกิดปัญหาเรื่องสุขภาพหรือรายได้นั่นเอง   อ้างอิงจาก: – Statista – สำนักงานสถิติแห่งชาติ – The Standard – BLT Bangkok – AMARIN 34 HD   ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/isan.insight   #ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #ชั่วโมงการทำงาน #ชั่วโมงการทำงานของคนไทย #คนไทยทำงานหนัก #แรงงานไทย

เมื่อ ‘คนไทย’ ไม่แพ้ใคร…แม้แต่เรื่องงาน‼️ พาส่องเบิ่ง ชั่วโมงทำงานของคนไทยและเพื่อนบ้านอาเซียน อ่านเพิ่มเติม »

Scroll to Top