ความโหดร้ายของเขมรแดงและผลกระทบต่อไทย
หากเอ่ยถึงโศกนาฏกรรมทางประวัติศาสตร์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่มีเหตุการณ์ใดสะเทือนใจเท่ากับยุคเขมรแดงในกัมพูชา ระหว่างปี พ.ศ. 2518-2522 ภายใต้การนำของพลพต กัมพูชาถูกผลักเข้าสู่การทดลองทางอุดมการณ์ที่โหดร้ายที่สุดครั้งหนึ่งในศตวรรษที่ 20 รัฐบาลปฏิวัติยกเลิกเงินตรา ห้ามเทคโนโลยี และกวาดต้อนผู้คนจากเมืองไปทำเกษตรแบบยังชีพในชนบท ทำให้มีประชากรกว่า 2 ล้านคน เสียชีวิตจากความอดอยาก การทำงานหนักเกินมนุษย์ และการสังหารหมู่โดยรัฐ การสูญเสียครั้งนั้นไม่เพียงพรากชีวิต แต่ยังทำลายโครงสร้างเศรษฐกิจและทุนมนุษย์ของกัมพูชาอย่างมหาศาล
ผลกระทบของเขมรแดงไม่ได้หยุดอยู่แค่ภายในพรมแดนกัมพูชาเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นภัยคุกคามต่อประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะประเทศไทย ในปี 2520 เพียงปีเดียว เขมรแดงบุกโจมตีชายแดนไทยกว่า 400 ครั้ง หนึ่งในเหตุการณ์สะเทือนใจที่สุดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2520 ที่อำเภอตาพระยา จังหวัดปราจีนบุรี (ปัจจุบันคือจังหวัดสระแก้ว) เมื่อทหารเขมรแดงบุกฆ่าล้างหมู่บ้านชาวไทยถึง 21 คน เผาบ้านเรือน ข่มขืน และทำลายชุมชนอย่างป่าเถื่อน เหตุการณ์เช่นนี้ทำให้รัฐไทยต้องเพิ่มงบประมาณด้านความมั่นคงและขยายกำลังทหารเพื่อรับมือกับภัยคุกคาม ส่งผลให้พื้นที่ทางเศรษฐกิจในแนวชายแดนจำนวนมากถูกทิ้งร้าง
ที่สำคัญสงครามและความอดอยากทำให้ชาวกัมพูชาหลั่งไหลเข้ามายังชายแดนไทย ในปี 2518 มีผู้อพยพเพียง 17,000 คน แต่เมื่อเวลาผ่านไปถึงปี 2522 ตัวเลขพุ่งขึ้นเป็นกว่า 137,000-200,000 คน ผู้ลี้ภัยจำนวนมากอิดโรยจากความหิวโหย ต้องนำทองคำและเงินตรามาแลกอาหารกับชาวบ้านไทย แต่ขณะเดียวกัน ไทยก็ต้องแบกรับภาระทางสาธารณสุขและความมั่นคงจำนวนมหาศาล เพราะเขมรแดงได้ฝังทุ่นระเบิดไว้ตามแนวชายแดน ทิ้ง “มรดกสงคราม” ที่คร่าชีวิตผู้คนไปอีกหลายสิบปีนั่นเอง
จึงเกิดเป็นการตั้งค่ายผู้ลี้ภัยมากถึง 18 ค่าย อย่างเช่น ไซต์ทูและไซต์ทรี ซึ่งบางแห่งมีผู้อพยพหลายหมื่นคนจนกลายเป็น “เมืองเศรษฐกิจเฉพาะกิจ” ที่มีการค้าขาย ตลาดอาหาร และแรงงานราคาถูก อย่างไรก็ตาม ค่ายผู้ลี้ภัยก็สร้างผลกระทบทางลบ โดยเฉพาะต่อโบราณสถาน ไม่ว่าจะเป็นปราสาทสด๊กก๊อกธม ที่ถูกใช้เป็นแหล่งน้ำและเชื้อเพลิงจนเกิดความเสียหายทางวัฒนธรรมอย่างใหญ่หลวง ขณะเดียวกันงบประมาณที่ไทยต้องใช้ในการดูแลผู้อพยพก็สูงขึ้นเรื่อย ๆ ในปี 2523 เพียงปีเดียว รัฐบาลไทยใช้งบประมาณมากถึง 20.9 ล้านบาท แม้ได้รับการสนับสนุนจาก UNHCR แต่ไทยก็ยังต้องเป็นผู้แบกรับต้นทุนหลักดังกล่าว
ตลอดเวลากว่าสองทศวรรษ ไทยต้องอยู่กับวิกฤตผู้อพยพที่ไม่เพียงเป็นปัญหาความมั่นคงเท่านั้น แต่ยังเป็นทั้งภาระและโอกาสทางเศรษฐกิจ ไทยเสียโอกาสจากพื้นที่เกษตรและการท่องเที่ยวในชายแดนที่ถูกทำลายจากสงครามและทุ่นระเบิด แต่อีกในมุมมอง การที่ไทยยื่นมือช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมกลับยกระดับภาพลักษณ์ประเทศในเวทีโลก ทำให้ได้รับการยอมรับในฐานะประเทศที่มีบทบาทสร้างสันติภาพและมนุษยธรรมในภูมิภาค
อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงวันที่ 3 มีนาคม 2536 ผู้อพยพกลุ่มสุดท้ายจำนวน 199 คน ได้กลับประเทศจากศูนย์อพยพเขาอีด่าง จังหวัดสระแก้ว ถือเป็นการปิดฉากมหากาพย์การช่วยเหลือผู้ลี้ภัยกัมพูชาของไทยที่ยาวนานเกือบ 20 ปี ประวัติศาสตร์ช่วงนี้สะท้อนให้เห็นว่า อุดมการณ์ที่สุดโต่งสามารถทำลายชาติหนึ่งชาติได้อย่างสิ้นเชิง และยังส่งแรงสะเทือนข้ามพรมแดนมาสู่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างไทย
อ้างอิงจาก:
– LUEhistory.com
ติดตาม ISAN Insight & Outlook ทุกช่องทางได้ที่
https://linktr.ee/isan.insight
#ISANInsightAndOutlook #อีสาน #ISAN #อีสานอินไซต์ #Business #Economy #ธุรกิจ #เศรษฐกิจ #ธุรกิจอีสาน #เศรษฐกิจอีสาน #ค่ายอพยพผู้ลี้ภัย #ไทยกัมพูชา #เขมรแดง #ประวัติศาสตร์