🇹🇭ทบ.เปิดไทม์ไลน์ ฟ้องคณะทูต! แฉกัมพูชาโกหกอะไรบ้าง🇰🇭 พร้อมงัดหลักฐานการละเมิดอนุสัญญา และก่ออาชญากรรมสงคราม ให้โลกรู้

วันนี้ (1 ส.ค.2568) เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยนำให้เอกอัครราชทูต อุปทูต ผู้แทนรวม 11 ประเทศ ผู้ช่วยทูตทหาร 23 ประเทศ สื่อต่างประเทศ 39 คนและสื่อไทย 110 คน ลงพื้นที่

อาจเป็นรูปภาพของ ข้อความพูดว่า "ไทยคู่ฟ้า คณะทูต 23 ชาติ ลงพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ทวีปเอเซีย จีน สิงคโปร์ เวียดนาม อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย มาเลเซีย บรูโน ฟิลิปปินส์ ลาว ทูร์เคีย ทวีปอเมริกาเหนือ ทวีปยุโรป รัสเซีย สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส แคนาดา สวีเดน + สวิตเซอร์แลนด์ ทวีปตะวันออกกลาง แอฟริกาเหนือ และอาหรับ เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ ปากีสถาน อิตาลี ข้อมูล ល วันที่ ส.ค. ส.ค.68 ข้อมูลณวันที่1ส.ค.68 68 สหราชอาณาจักร THAIGOV.GO.TH"

ทบ. ไล่ไทม์ไลน์สู้รบ ฟ้องคณะทูต ยันกัมพูชาเริ่มก่อน จัดกิจกรรมยั่วยุ รุกอธิปไตย เปิดฉากยิงสู่การสู้รบ โจมตีพลเรือน ใช้ประชาชนโล่มนุษย์ บิดเบือนข้อมูลให้ร้ายไทยใช้อาวุธเคมี ทิ้งบอมบ์ใส่บ้านเรือน

วันนี้ (1 ส.ค.) ที่มณฑลทหารบกที่ 22 ค่ายสรรพสิทธิประสงค์ กองทัพบก ได้ชี้แจงสถานการณ์ความขัดแย้งตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ต่อคณะนักการทูต คณะผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารประจำประเทศไทย สื่อมวลชน ระบุว่า การดำเนินงานของกองทัพ ในการรักษาอธิปไตย และยึดมั่นในหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และย้ำถึงความมุ่งมั่งของกองทัพที่จะแก้ปัญหา ด้วยทวิภาคีที่ไทย และกัมพูชามีอยู่ ด้วยความจริงใจและโดยสันติวิธีมาโดยตลอด

ฝ่ายกัมพูชาดำเนินการยั่วยุ เพื่อสร้างความตึงเครียด ด้วยกิจกรรมทางทหาร และพลเรือน โดยมีลำดับเหตุการณ์ที่สำคัญ ดังนี้

  • 13 ก.พ. 68 การพานักท่องเที่ยวขึ้นมาร้องเพลงปลุกใจในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม
  • 28 ก.พ. 68 การเผาศาลาตรีมุข สัญลักษณ์ความร่วมมือ ไทย กัมพูชา และ สปป.ลาว
  • มี.ค. ถึง เม.ย.68 ทหารกัมพูชา ดัดแปลงภูมิประเทศแนวชายแดน เพื่อทางการทหาร เสริมความแข็งแรงของที่มั่น ปรับปรุงเส้นทาง และการขยายแนวเขตคูเลตเข้ามาในเขตประเทศไทย
  • เม.ย. ถึง พ.ค. 68 ฝ่ายกัมพูชา ได้เคลื่อนย้ายกำลังพลเพิ่มเติม และอาวุธยุทโธปกรณ์ประชิดชายแดนไทย – กัมพูชาเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ตามที่มีหลักฐานการพิสูจน์ ทราบจากการวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมของนักวิจัยชาวออสเตรเลีย ต่อมาฝ่ายกัมพูชา ได้รุกล้ำเข้ามาในเขตแดนของไทย โดยเข้ามาขุดคูเลตติดต่อ
  • 28 พ.ค. กัมพูชาเริ่มเปิดฉากการยิง (Skirmish) ระหว่างหน่วยในพื้นที่ โดยฝ่ายไทยได้ตอบโต้ เพื่อเป็นการป้องกันตัว บริเวณช่องบก กองทัพ และรัฐบาลไทยพยายามใช้แก้ไขปัญหาแบบทวิภาคี ซึ่งไม่เป็นผล
  • ห้วงเดือน ก.ค.68 ทหารกัมพูชา ได้รุกล้ำเข้ามาลักลอบวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลหลายพื้นที่ ในเขตแดนไทย จนทำให้ทหารไทยลาดตระเวน บาดเจ็บสูญเสียขาจากทุ่นระเบิดสังหารบุคคล PMN-2 ถึง 2 ครั้ง ทำให้เกิดการสูญเสีย ขาขาด 2 นาย และมีบางส่วนบาดเจ็บ ซึ่งเป็นการกระทำที่ฝ่ายกัมพูชาจงใจละเมิดหลักมนุษยธรรมอย่างร้ายแรง อีกทั้งเป็นการจงใจ ละเมิดอนุสัญญาออตตาวาที่ทั้งไทย และกัมพูชาให้สัตยาบรรณ นอกจากนั้น ในพื้นที่ดังกล่าว ได้ดำเนินการเก็บกู้วัตถุระเบิด ภายใต้ความร่วมมือของนานาชาติ จนมีความปลอดภัยเป็นที่ประจักษ์แล้ว

พาเปิดเบิ่ง  สรุปไทม์ไลน์เหตุการณ์ปะทะกันระหว่างไทย-กัมพูชา

 

  • ในขณะเดียวกันฝ่ายกัมพูชา พยายามแสดงการยั่วยุ โดยส่งทหารกัมพูชาทั้งในเครื่องแบบ และนอกเครื่องแบบแสดงเป็นพลเรือน ตลอดจนจัดตั้งมวลชนชาวกัมพูชา จากกรุงพนมเปญและใกล้เคียงเข้ามาในพื้นที่ปราสาทตาควาย ปราสาททตาเมือน และพื้นที่อื่น ๆ ตามแนวชายแดน เพื่อจัดกิจกรรมทำคอนเทนต์ แสดงออกในลักษณะยั่วยุนักท่องเที่ยวชาวไทย ประชาชนไทย และทหารไทย ในพื้นที่จนเกิดการกระทบกระทั่งมีความเสี่ยงที่จะเกิดการปะทะกันระหว่างคนไทย และคน กัมพูชา ในพื้นที่ปราสาทต่าง ๆ 

 

  • กองทัพบก ยังชี้แจง มาตรการควบคุมชายแดน และการเปิดฉากยิงของกัมพูชา เมื่อ24 ก.ค.68 ทหารกัมพูชา ปราสาทตาเมือนธมโดยใช้ ปืนเล็กยาว, ปืน และ เครื่องยิงลูกระเบิด mortar จนนำไปสู่การปะทะกัน
  • จากนั้น ฝ่าย กัมพูชา ได้ยกระดับเป็นการใช้กำลังรบ และอาวุธยิงสนับสนุน ปืนใหญ่ และจรวดหลายลำกล้อง BM-21 โจมตี
    ฝ่ายไทยตลอดแนวชายแดน จงใจยิงเป้าหมายพลเรือน ซึ่งหากจากชายแดน เกือบ 10 กม. ถึง 30 กม.โรงพยาบาลพนมดงรัก จ.สุรินทร์ ปั๊มน้ำมัน PTT บ้านผือ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ร้านค้าสะดวกซื้อ 7-11 บ้านผือ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ
    โรงเรียนในจังหวัดสุรินทร์ และศรีสะเกษ บ้านเรือนราษฎร เช่น หมู่บ้านกรวด บ้านกุดเชียง ในพื้นที่ จ.สุรินทร์, บุรีรัมย์, ศรีสะเกษ และ อุบลราชธานี ทำให้พลเรือนบาดเจ็บ 36 ราย เสียชีวิต 15 ราย ซึ่งผู้เสียชีวิต 1 ในนั้นเป็นเด็กอายุเพียง 8 ปี
    และมีราษฎรต้องอพยพจำนวนมากกว่า 150,000 คน

กองทัพบก กล่าวต่อว่า ฝ่ายไทยตอบโต้ภายใต้หลักการแห่งการป้องกันตนเอง(Right of Self-Defense) ตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มาตรา 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ(Article 51 of the UN Charter) ซึ่งระบุว่า

“ไม่มีบทบัญญัติใดในกฎบัตรนี้จะกระทบสิทธิของรัฐในการป้องกันตนเองโดยชอบด้วยกฎหมาย หากมีการโจมตีด้วยอาวุธเกิดขึ้นต่อรัฐนั้น” การตอบโต้ของฝ่ายไทยจึงเป็นการดำเนินการที่ชอบด้วยกฎหมาย และอยู่ภายใต้หลักความจำเป็นและความได้สัดส่วน (Necessity and Proportionality)

โดยมีเป้าหมายเพียงเพื่อ ยับยั้งภัยคุกคาม ลดการสูญเสียของพลเรือน และรักษาเสถียรภาพของอธิปไตยแห่งชาติทั้งนี้ฝ่ายไทยมิได้มีเจตนาที่จะรุกรานหรือกระทำการใด ๆ ที่เกินขอบเขตการป้องกันตนเองจากการคุกคามโดยฝ่ายกัมพูชา

 

 

ทั้งนี้ ฝ่ายไทยทำการโจมตีเป้าหมายทางทหารเท่านั้น ในขณะที่ฝ่ายกัมพูชาใช้การโจมตีแบบ indiscriminate target ทำให้เกิดการสูญเสียทางพลเรือนของฝ่ายไทย นอกจากนี้ที่ตั้งอาวุธยิงสนับสนุนในเขตชุมชนพลเรือน เสมือนเป็นใช้โล่ห์มนุษย์ ซึ่งฝ่ายไทยไม่ตอบโต้ไปเป้าหมายดังกล่าว ถือเป็นการเจตนาละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศและหลักสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงจนไม่สามารถให้อภัยได้ และไม่มีประเทศอารยธรรมใดในโลกที่ยอมรับการกระทำ ซึ่งไร้มนุษยธรรมในลักษณะดังกล่าว

กองทัพยังสรุปถึง สถานการณ์ปัจจุบัน กัมพูชายังคงดำเนินการทางทหาร หลังจากมีการเจรจาข้อตกลงหยุดยิง ที่มาเลเซีย เมื่อวันที่ 28 ก.ค.68 แล้ว เวลาหลังเที่ยงคืน ฝ่ายกัมพูชาได้ละเมิดข้อตกลงการหยุดยิง ในพื้นที่ดังต่อไปนี้

  1. (1) Chong Bok Area, Ubon Ratchathani Province
  2. (2) Sam Tae Area, Si Sa Ket Province
  3. (3) Pha Mor E Daeng, Si Sa Ket Province
  4. (4) Phu Ma Khua/Khanmar Area, Si Sa Ket Province
  5. (5) Phlan Yao Area, Si Sa Ket Province
  6. (6) Ta Kwai Temple, Surin Province

ทั้งนี้ ฝ่ายกัมพูชายังละเมิดข้อตกลงหยุดยิง จนถึงวันที่ 30 ก.ค.68 เวลา 05.10 น. และเมื่อวันที่ 31 ก.ค. 68 ตรวจพบทหารกัมพูชาเพิ่มเติมกำลังในพื้นที่ตลอดแนวชายแดนไทยและการใช้อากาศยานไร้คนขับของฝ่ายกัมพูชา บินตรวจการณ์ในพื้นที่ตอนในของฝ่ายไทย อย่าง
มีนัยสำคัญ

การตอบโต้การบิดเบือนข้อมูลกัมพูชากล่าวหาว่าไทยรุกรานกัมพูชา และละเมิดกติกาสหประชาชาติ อำนาจอธิปไตย และอาณาเขตรัฐ ซึ่งตามข้อเท๋จจริงประเทศไทยเป็นรัฐสมาชิกสหประชาชาติที่เคารพในกฎบัตรสหประชาชาติอย่างเคร่งครัด รวมถึงหลักการไม่ใช้กำลังในการแก้ไขข้อพิพาทระหว่างประเทศ (Article 2(4) UN Charter)

 

 

การปฏิบัติของฝ่ายไทยเป็นการป้องกันตนเองอย่างจำเป็นและได้สัดส่วน (necessity & proportionality) ตามสิทธิที่ระบุไว้ใน Article 51 ของกฎบัตรฯ หลังจากฝ่ายกัมพูชา ใช้อาวุธโจมตีด่านทหาร ฝ่ายปกครอง และชุมชนไทยในหลายพื้นที่ ซึ่งมีหลักฐานชัดเจนว่ากำลังฝ่ายกัมพูชาเคลื่อนกำลังเข้ามาในเขตแดนของไทยหลายครั้ง พร้อมใช้อาวุธโจมตีเป้าหมายของฝ่ายไทยโดยเฉพาะเป้าหมายพลเรือน เช่น โจมตี รพ.พนมดงรัก ซึ่งหากจากชายแดน เกือบ 10 กม., ปั้มน้ำมันบ้านผือ ที่หากจากชายแดน 30 กม.

สำหรับการใช้ระเบิดเคมี เป็นคำกล่าวหาที่ร้ายแรง และไร้มูลความจริงโดยสิ้นเชิง ประเทศไทยเป็นภาคีของอนุสัญญาว่าด้วยอาวุธเคมี(Chemical Weapons Convention – CWC) และปฏิบัติตามข้อกำหนดอย่างเคร่งครัด ไม่มีหน่วยใดในกองทัพไทยที่ใช้อาวุธเคมีทั้งในแง่ยุทธวิธีหรือยุทธศาสตร์การกล่าวหา เช่นนี้เข้าข่าย war propaganda และเป็นความพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อใส่ร้าย กรณีภาพ “ระเบิดเคมี” ที่ฝ่ายกัมพูชาเผยแพร่ โดยรัฐบาลกัมพูชา แท้จริงคือภาพภารกิจการดับไฟ้ป่าในรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ปี2022 ซึ่งสามารถดูภาพดังกล่าวได้ผ่านทางสื่อออนไลน์

ส่วนที่ไทยใช้เครื่องบิน F-16 และอาวุธหนักจำนวนมากนั้น อาวุธทั้งหมดที่ใช้ในการตอบโต้และมีความเหมาะสมตามสัดส่วน เป็นเพื่อสกัดการรุกล้ำของฝ่ายกัมพูชา และกระทำต่อเป้าหมายทางทหาร บริเวณแนวชายแดน ไม่ใช่การโจมตีเชิงรุก แต่เป็นฝ่ายกัมพูชาต่างหากที่วางกำลังและยิงอาวุธจากพื้นที่พลเรือน ใช้ชุมชนเป็น “โล่มนุษย์” ซึ่งเป็นการละเมิด International Humanitarians Laws อย่างร้ายแรง

กองทัพบกชี้แจงต่อว่า ต่อประเด็นไทยใช้ระเบิด MK-84 ตกใส่บ้านเรือนของประชาชนกัมพูชา ตามคำแถลงของ นายเฮง รัตนา หัวหน้า CMAC ของกัมพูชา มีลักษณะชัดเจนของการ บิดเบือนข้อมูล โดยอ้างภาพเก่าและสร้างการเชื่อมโยงที่ไม่มีมูลความจริง ฝ่ายไทยขอปฏิเสธข้อกล่าวหาของกัมพูชาอย่างสิ้นเชิง ซึ่งภาพวัตถุระเบิดที่กัมพูชาอ้างว่าเป็น MK-84 นั้น เป็นระเบิดเก่าจากยุคสงครามเวียดนาม และไม่เป็นไปตามหลักทางวิทยาศาสตร์

ทั้งนี้ไทยขอประนาม และให้กัมพูชาหยุดการกล่าวหาอันเป็นเท็จ เพื่อปลุกปั่นกระแสความ เกลียดชัง และขอให้หันมาร่วมมือกับประเทศไทยและประชาคมระหว่างประเทศในการคลี่คลาย สถานการณ์ชายแดนอย่างสันติผ่านการเจรจาและความร่วมมือที่ตรงไปตรงมา

ล่าสุด เมื่อ 30 ก.ค.68 ฝ่ายกัมพูชาเชิญคณะผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศ ประจำกัมพูชาไป ตรวจพื้นที่การรบห่างจากชายแดน 30 กม. แต่ฝ่ายกัมพูชากลับเปลี่ยนแผน พาคณะผู้ช่วยทูตทหาร ต่างประเทศ ประจำกัมพูชา ไปพื้นที่ช่องอานม้า ซึ่งเป็นพื้นที่การสู้รบ ยังมีความเสี่ยงต่ออันตราย

กองทัพบก กล่าวสรุปช่วงท้ายว่า ขอเน้นย้ำว่า การปะทะระหว่างไทย กับกัมพูชานั้น ฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้เริ่มยิงก่อน โดยอาวุธระยะไกลยิงต่อ เป้าหมายพลเรือน และทำให้เกิดความเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินหายของพลเรือนที่ยอมรับไม่ได้ทั้งนี้ หลังจากที่มีการเจรจาตกลงหยุดยิงแล้วแต่ ฝ่ายกัมพูชายังละเมิดข้อตกลงหยุดยิงอย่างต่อเนื่อง ยิ่งไปกว่านั้น กัมพูชา เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารบิดเบือนข้อมูลอย่างเป็นระบบขอให้ประชาคมระหว่างประเทศ ร่วมติดตามสถานการณ์ด้วยความเข้าใจ และร่วมกันผลักดันให้มีการเจรจาทวิภาคี เพื่อแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี

 

🔍พร้อมงัดหลักฐาน 8 พฤติกรรมไร้มนุษยธรรมของกัมพูชา — ที่โลกต้องไม่เพิกเฉย‼️
  1. • การ “ยิงถล่มโรงพยาบาล โรงเรียน ชุมชนพลเรือน” อย่างโหดเหี้ยม
    • อาจเป็นรูปภาพของ 1 คน และ ข้อความพูดว่า "กันพูชทาต้องรัมดิดอบมอากรท Cambodia Must Be Held Accountable for Inhumane Acts โจมตีบ้านเรือน โรงพยาบาล โรงเรียน เสียหายกว่าร้อยแห่ง Targeting Civilian Infrastructure አናትክት S.MA.R.T"
  2. • การใช้ “โบราณสถานของไทยเป็นฐาน” เป็นโล่กำบัง
    • อาจเป็นรูปภาพของ 6 คน, วัด, อนุสาวรีย์ และ ข้อความพูดว่า "กัมพูชาต้องรับเิคอยอ่อตระรท Cambodia Must Be Held Accountable for Inhumane Acts ใช้ปราสาทตาควายเป็นฐานทหาร ฐานทหา ละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมสากล Militarization of Cultural Heritage S.MA.R.T"
  3. • การใช้ “ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล” ในดินแดนไทย
    • อาจเป็นรูปภาพของ 1 คน และ ข้อความ
  4. • การใช้ “พลเรือนเป็นโล่มนุษย์”
    • อาจเป็นรูปภาพของ 4 คน และ ข้อความ
  5. • การโจมตีทำให้ “คนไทยผู้บริสุทธิ์” เสียชีวิต
    • อาจเป็นรูปภาพของ 12 คน, ลิงลม และ ข้อความพูดว่า "กันพูษาต้องรับมิตอบต่อกากราท ยธรรม Cambodia Must Be Held Accountable for Inhumane Acts พลเรือน เด็ก และู้สูงอายุไทยเสียชวตจาการโ Civilian Casualties and Humanitarian Impact ขอแสตงความเสีย ามเสีย ใจกับ ขอแสดง ครอบคร ครอบครัวผู้สูญเสียพืนที่เซเว่นไ ใน ปิ๋มน้ำมันบ้านผือกันทรลักษณ์ นบ้านผือ กันทรลักษณ์ ปัมน่า ด้วยค่ะชอ ...3ัแม่ลูกที่จากไปมีแต่พ่อี ที่จากไป มีแค่พ่อที ..3แม่ลูกที่จากไป 1กรอด... S.MA.R.T"
  6. • การเป็นต้นเหตุให้พลเรือนไทยต้องอพยพเกือบ 200,000 คน
    • อาจเป็นรูปภาพของ 3 คน และ ข้อความ
  7. • การปลุกปั่น “ปล่อยข่าวเท็จ” รายวันของผู้นำกัมพูชา
    • อาจเป็นรูปภาพของ ข้อความ
  8. • การยุยง “สร้างความเกลียดชัง” ปลุกกระแสรักชาติแบบผิดๆ
    • อาจเป็นรูปภาพของ 7 คน, ลิงลม และ ข้อความ
ประเทศไทยยังคงยืนหยัด — ไม่ตอบโต้พลการ ไม่โจมตีเป้าหมายพลเรือน แต่ปกป้องแผ่นดินด้วยหลักมนุษยธรรมและความชอบธรรม
ถึงเวลาแล้วที่ประชาคมโลกต้องตั้งคำถาม:
• ใครคือผู้ละเมิดกฎหมายสากล?
• ใครคือผู้ใช้เด็ก–ผู้หญิง–คนชราเป็นโล่มนุษย์?
• ใครคือผู้สมควรถูกประณามและรับผิดชอบ?
อาจเป็นรูปภาพของ 5 คน และ ข้อความพูดว่า "กับผูชาต้อรับดิดวมอ่ารท่ Cambodia Must Be Held Accountable for Inhumane Acts ร้าให้เขมรถูกไทย์โอมดี รำให้ ห้เขบรถูกไทยโอม ประธานสภาเขมร ประธานสกา ใส้ร้า/กล่างหาระเคไทย้วยม False Accusation and Disinformation Warfare โจมดีบ้านเรือน โรงพยาบาล โรงเรียน เสียหายกว่าร้อยแห่ง Targeting Civilian Infrastructure ใช้ปราะ ใช้ปราสากตาควายเป็นฐานกหาร นทหาร ละเบิดกฎหมายมนุมยธรรมสาก ละเบิดกฎหมาย Militorization Cultural Her Heritage ใช้ทุ่นระเบิดสังหรบุคลในขแด Use of Anti-Personnel Mines in in Thai Territory เด็กและหัสงวาุไทเสียชีวิจาการ Civilian Casualties and Humanitarian Impact พลเรือนเกือบ 200,000 000 ต้องอพยพจากบ้าน Mass Displocement of Thai Civilians ยุยงพลเรือน เพื่อขยายความขัดแย้ง Weaponizing Youth and Media to Hate ใช้ "ผลเรือนเป็นไล่มนุษย์" ป้องกันที่มั่นกางทหาร Human Shields and Military Cover S.M.A.R.T 中"
8 Inhumane Acts Committed by Cambodia — The World Must Not Stay Silent ‼️
Cambodia’s 8 Inhumane Acts the World Must Not Ignore
The following actions by Cambodia are blatant violations of international humanitarian norms —
The world must not turn a blind eye.
  1. Brutal attacks on hospitals, schools, and civilian communities
  2. Using Thailand’s cultural heritage sites as military shields
  3. Deploying anti-personnel landmines in Thai territory
  4. Using civilians as human shields
  5. Causing the deaths of innocent Thai civilians through attacks
  6. Cambodia’s aggression has forced nearly 200,000 Thai civilians to flee their homes.
  7. Daily disinformation campaigns by Cambodian leadership
  8. 8. Inciting hatred and distorting patriotism to fuel extremism
These are not acts of defense.
They are crimes against humanity.
Thailand remains restrained — never retaliating against civilians
But defending its soil with discipline and moral legitimacy
The global community must now ask:
  •  Who violates international humanitarian law?
  •  Who uses children, women, and the elderly as shields?
  •  Who must be held accountable?
#TruthFromThailand #WarCriminal #CambodiaOpenedFire #อาชญากรสงคราม #กัมพูชายิงก่อน #ยุทธบดินทร์ #YutthaBodin
#SmartSoldiersStrongArmy #SMARTSoldiersStrongARMY
#ทูตทหาร #กองทัพบก #กองทัพไทย #ทหารไทย #ไทยกัมพูชา #กัมพูชาโจมตีไทย #ไทยปะทะกัมพูชา #ไทยสู้รบกัมพูชา #ชายแดนไทยกัมพูชา #สถานการณ์ไทยกัมพูชา #TruthFromThailand

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Scroll to Top