พามาเบิ่ง🥼จำนวนแพทย์และพยาบาลแต่ละประเทศในกลุ่ม GMS 👩‍⚕

พามาเบิ่ง🧐จำนวนแพทย์และพยาบาลแต่ละประเทศในกลุ่ม GMS 🥼👩‍⚕

จำนวนแพทย์ต่อประชากรเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญอย่างยิ่งในการประเมินสถานการณ์ด้านสุขภาพของประเทศหนึ่งๆ โดยสามารถบ่งบอกถึงปัจจัยต่างๆ ได้ดังนี้
🥼การเข้าถึงบริการทางการแพทย์: จำนวนแพทย์ที่มากขึ้นจะส่งผลให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้ง่ายขึ้น ลดระยะเวลาในการรอคิว และเพิ่มโอกาสในการได้รับการรักษาพยาบาลที่ทันท่วงที
🥼คุณภาพของการดูแลสุขภาพ: การมีแพทย์เพียงพอจะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลที่ละเอียดรอบคอบมากขึ้น แพทย์จะมีเวลาให้คำปรึกษาและตรวจรักษาผู้ป่วยได้อย่างเต็มที่
การกระจายตัวของทรัพยากรบุคคล: การเปรียบเทียบจำนวนแพทย์ในแต่ละพื้นที่ จะช่วยให้เห็นภาพการกระจายตัวของทรัพยากรบุคคลทางการแพทย์ ว่ามีความสม่ำเสมอหรือไม่ และพื้นที่ใดบ้างที่ขาดแคลนแพทย์
🥼ประสิทธิภาพของระบบสุขภาพ: จำนวนแพทย์ที่เหมาะสมจะช่วยให้ระบบสุขภาพทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดภาระงานของแพทย์ และป้องกันไม่ให้เกิดการทำงานหนักเกินไป
การพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคม: ประเทศที่มีจำนวนแพทย์ต่อประชากรสูง มักจะมีสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่ดีกว่า เนื่องจากประชาชนมีสุขภาพที่ดีขึ้น สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีอายุขัยที่ยาวนานขึ้น
.
ปัจจัยที่ส่งผลต่อจำนวนแพทย์ต่อประชากร:
🥼นโยบายด้านสาธารณสุข: รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมการผลิตแพทย์และการกระจายแพทย์ไปยังพื้นที่ห่างไกลหรือไม่
🥼งบประมาณด้านสาธารณสุข: การลงทุนด้านสาธารณสุขที่เพียงพอจะช่วยเพิ่มจำนวนแพทย์และอุปกรณ์ทางการแพทย์
🥼สภาพการทำงานของแพทย์: สภาพการทำงานที่น่าพอใจ เช่น เงินเดือนที่ดี สวัสดิการที่ดี จะดึงดูดให้แพทย์เข้ามาทำงานในระบบสาธารณสุขมากขึ้น
🥼การขาดแคลนแพทย์เฉพาะทาง: บางสาขาแพทย์อาจขาดแคลนบุคลากร ซึ่งส่งผลต่อการเข้าถึงบริการทางการแพทย์เฉพาะทาง
.
มาตรฐานจำนวนแพทย์ต่อประชากร:
🥼องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดมาตรฐานจำนวนแพทย์ต่อประชากรไว้ที่แพทย์ 1 คนต่อประชากร 1,000 คน แต่ค่ามาตรฐานนี้เป็นเพียงตัวเลขที่ใช้เป็นแนวทางเท่านั้น เนื่องจากความต้องการแพทย์จะแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น โรคระบาด อายุเฉลี่ยของประชากร และสภาพทางภูมิศาสตร์
.
สถานการณ์จำนวนแพทย์ต่อประชากรในกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง (GMS):

ภาพรวมสถานการณ์ระบบการดูแลสูขภาพของจีน

  • แพทย์ 25.18 ต่อ ประชากร 10,000 คน
  • พยาบาล 35.20 ต่อ ประชากร 10,000 คน
ระบบการรักษาพยาบาลแห่งชาติของประเทศจีนเป็นระบบหลายระดับ โดยมีประกันสุขภาพพื้นฐาน (BMI) เป็นส่วนสำคัญ และมีความช่วยเหลือทางการแพทย์เป็นระบบสำรอง รวมถึงมีประกันสุขภาพเชิงพาณิชย์ การบริจาคการกุศล และกิจกรรมช่วยเหลือทางการแพทย์ร่วมเป็นบริการเสริม ระบบ BMI ครอบคลุมสองกลุ่มหลักคือพนักงานที่ลงทะเบียนในโปรแกรมประกันสุขภาพพื้นฐานของพนักงาน (EBMI) และประชาชนทั่วไปที่ลงทะเบียนในโปรแกรมประกันสุขภาพพื้นฐานของประชาชน (RBMI) โดยในเดือนกันยายน 2020 มีประชาชนมากกว่า 1.35 พันล้านคน หรือกว่า 95% ของประชากรทั้งหมดได้รับการคุ้มครองจากโปรแกรม BMI ซึ่งนับเป็นเครือข่ายความปลอดภัยทางการแพทย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีจำนวน 337 ล้านคนที่ได้รับการคุ้มครองจาก EBMI และ 1.014 พันล้านคนได้รับการคุ้มครองจาก RBMI

ระบบประกันสุขภาพพื้นฐานมีความยั่งยืนและเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2019 มีรายได้จากกองทุนประกันสุขภาพพื้นฐานแห่งชาติ (รวมประกันการคลอด) มูลค่า 2.44 ล้านล้านหยวน และมีค่าใช้จ่ายมูลค่า 2.09 ล้านล้านหยวน นอกจากนี้ ระบบความช่วยเหลือทางการแพทย์ยังมีบทบาทสำคัญในการประกันความมั่นคงทางการแพทย์ให้กับประชาชน โดยเฉพาะประชาชนที่มีรายได้น้อย ด้วยการสนับสนุนให้ประชาชนกลุ่มนี้สามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์พื้นฐานได้ตั้งแต่ปี 2018 ความช่วยเหลือทางการแพทย์นี้ได้ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ให้กับประชาชนที่มีรายได้น้อยประมาณ 480 ล้านคน รวมมูลค่าประมาณ 330 พันล้านหยวน และได้ดำเนินมาตรการลดความยากจนโดยเฉพาะสำหรับผู้คนที่เจ็บป่วยร้ายแรงกว่า 10 ล้านคนเพื่อให้พวกเขามีความมั่นคงทางการแพทย์เบื้องต้น

องค์กรต่าง ๆ ในตลาดยังมีส่วนร่วมในการสนับสนุนระบบความปลอดภัยทางการแพทย์นี้ ทำให้ระบบความปลอดภัยทางการแพทย์หลายระดับกลายเป็นส่วนสำคัญของการรักษาพยาบาลในประเทศจีน

 

ภาพรวมสถานการณ์ระบบการดูแลสูขภาพของกัมพูชา

  • แพทย์ 2.14 ต่อ ประชากร 10,000 คน
  • พยาบาล 10.25 ต่อ ประชากร 10,000 คน

ระบบสาธารณสุขของกัมพูชาได้มีการพัฒนาและปรับปรุงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 1990 ผ่านกระบวนการปฏิรูปที่ยาวนาน สถานะสุขภาพของประชาชนได้ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่ปี 1993 อัตราการตายลดลงและอายุขัยเฉลี่ยเมื่อเกิดเพิ่มขึ้นเป็น 62.5 ปีในปี 2010 เพิ่มขึ้น 1.6 เท่าจากปี 1980 กัมพูชาอยู่ในเส้นทางที่จะบรรลุเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ กระทรวงสาธารณสุข (MOH) มีบทบาทสำคัญในการวางแผนและพัฒนาระบบสาธารณสุข โดยทำงานร่วมกับหน่วยงานพัฒนาอื่น ๆ 

การปฏิรูปการจัดการและการบริหารด้านสุขภาพมีการดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน หนึ่งในขั้นตอนแรกคือการแปลงสถานะของหน่วยงานปฏิบัติการสุขภาพเกือบหนึ่งในสามให้เป็นหน่วยงานพิเศษซึ่งมีความเป็นอิสระในด้านการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์และการเงินมากขึ้น และได้รับเงินทุนเพิ่มเติมผ่านการสนับสนุนการให้บริการโดยตรง การแปลงสถานะนี้มีเป้าหมายเพื่อให้การบริหารจัดการมีความเป็นอิสระมากขึ้น เพิ่มแรงจูงใจให้กับพนักงานและเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ

 

ภาพรวมสถานการณ์ระบบการดูแลสูขภาพของลาว

  • แพทย์ 3.27 ต่อ ประชากร 10,000 คน
  • พยาบาล 11.83 ต่อ ประชากร 10,000 คน

ระบบสาธารณสุขของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ทศวรรษที่ 1990 โดยมีการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ด้านสุขภาพในปี 2008-2015 ซึ่งได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรด้านการพัฒนาเพื่อช่วยกำหนดนโยบายสุขภาพตามเป้าหมายของ MOH เป้าหมายหลักของการปฏิรูปสุขภาพในระยะยาวคือให้บริการสุขภาพที่ทั่วถึง อย่างไรก็ตามยังมีความท้าทายหลายประการในการดำเนินงาน

การลงทุนจากรัฐบาลในด้านสุขภาพมีการเพิ่มขึ้น แต่ยังคงอยู่ที่เพียง 1.4% ของ GDP และการพึ่งพาการจ่ายค่ารักษาพยาบาลเองสูงถึง 61% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด การเบิกจ่ายเงินสำหรับการประกันสุขภาพ แบบล่วงหน้าครอบคลุมเพียง 19.6% ของประชากร ทำให้กลุ่มคนรายได้น้อยยังเข้าถึงการดูแลสุขภาพได้ยาก

นโยบายและยุทธศาสตร์ของรัฐบาลยังไม่ได้รับการดำเนินการอย่างเต็มที่ จำเป็นต้องมีการปรับปรุงการเก็บข้อมูลสุขภาพ การลดการพึ่งพาการจ่ายค่ารักษาพยาบาลเอง และการนำร่างนโยบายการเงินสุขภาพมาปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ การสนับสนุนจากผู้บริจาคยังมีความสำคัญ แต่ต้องมีการปรับโปรแกรมผู้บริจาคให้สอดคล้องกับความสำคัญของชาติ

 

ภาพรวมสถานการณ์ระบบการดูแลสูขภาพของเวียดนาม

  • แพทย์ 8.33 ต่อ ประชากร 10,000 คน
  • พยาบาล 14.54 ต่อ ประชากร 10,000 คน

ระบบสาธารณสุขของเวียดนามมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยประกอบด้วยศูนย์สุขภาพระดับชาติ จังหวัด อำเภอ และชุมชน ในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมา เวียดนามได้ขยายความครอบคลุมของประกันสุขภาพแบบถ้วนหน้าและลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ การลงทุนในงานวิจัยและพัฒนาได้นำไปสู่การพัฒนาวัคซีนสำหรับ SARS-CoV-2 อย่างไรก็ตาม ระบบสาธารณสุขยังคงประสบกับความท้าทายหลายประการ เช่น การขาดการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการจัดการข้อมูลและการขาดแคลนบุคลากรในพื้นที่ชนบท 

Dr.Vu Thanh Nam กล่าวว่า สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามเป็นประเทศที่ผ่านสงครามหลายครั้ง และต้องเผชิญกับปัญหาหลายอย่างที่นับเป็นเวลายากลำบากของประเทศ แต่หลังจากเวียดนามได้รวมชาติสำเร็จแล้ว ได้เข้าสู่ยุคการพัฒนาประเทศ หลังปี 2518 เวียดนามได้กำหนดเป้าหมายเพื่อมุ่งให้ประชาชนอยู่ดีมีสุข “ขณะนี้ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของเวียดนามสามารถครอบคลุมประชากรราวร้อยละ 80 ของประชากรประเทศ และตั้งเป้าหมายให้ประชากรเวียดนามทั้งหมดมีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าดูแลภายใน 5 ปีจากนี้” โดยกลไกในการควบคุมค่าใช้จ่าย การจัดระบบจ่ายชดเชย และการตรวจสอบที่เข้มแข็งเป็นส่วนสำคัญที่เวียดนามได้ศึกษาเรียนรู้จากไทย โดยในส่วนการจ่ายชดเชยค่าบริการให้กับหน่วยบริการ เวียดนามได้ดำเนินใน 3 รูปแบบเช่นเดียวกับไทย คือ 1.การจ่ายตามจริง 2.เหมาจ่ายรายหัว และ 3.การจ่ายตามรายการกลุ่มวินิจฉัยโรคร่วม (Diagnostic related group : DRG) โดยระบบ DRG เวียดนามได้พัฒนาในเวอร์ชั่นที่ 1 แล้ว แต่ด้วยในทางปฏิบัติยังติดขัดปัญหาหลายอย่าง อาทิ การใส่รหัสโรคเบิกจ่าย การกำหนดกลุ่มโรค การตรวจสอบการเบิกจ่าย เป็นต้น ทำให้ต้องเรียนรู้ประสบการณ์จากไทยเพื่อนำไปพัฒนาและปรับปรุงให้เหมาะสมและสอดคล้องกับบริบทของเวียดนาม

 

ภาพรวมสถานการณ์ระบบการดูแลสูขภาพของไทย

  • แพทย์ 9.28 ต่อ ประชากร 10,000 คน
  • พยาบาล 30.78 ต่อ ประชากร 10,000 คน
อีสาน
  • แพทย์ 3.90 ต่อ ประชากร 10,000 คน
  • พยาบาล 22.49 ต่อ ประชากร 10,000 คน
ระบบสาธารณสุขของประเทศไทยประกอบด้วยทั้งโรงพยาบาลรัฐและเอกชน ซึ่งมีคุณภาพสูงและครอบคลุมทั่วประเทศ การให้บริการผ่านโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า (UCS) ช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้ในราคาที่ถูกหรือไม่มีค่าใช้จ่าย ระบบนี้ครอบคลุมการรักษาทุกประเภทตั้งแต่การรักษาพื้นฐานไปจนถึงการรักษาที่ซับซ้อน

นอกจากนี้ยังมีระบบประกันสังคม (SSS) ที่ให้บริการสุขภาพสำหรับผู้ที่ทำงานในบริษัทเอกชนและรัฐวิสาหกิจ ส่วนข้าราชการและครอบครัวได้รับการดูแลผ่านโครงการสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ (CSMBS) ระบบเหล่านี้ช่วยให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่จำเป็น

สำหรับชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย สามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้ผ่านการประกันสุขภาพภาคเอกชน ซึ่งมีหลายบริษัทให้บริการโดยครอบคลุมการรักษาพยาบาลทั้งในโรงพยาบาลรัฐและเอกชน คุณภาพการรักษาพยาบาลในประเทศไทยได้รับการยอมรับในระดับสากล โดยมีการใช้เทคโนโลยีและมาตรฐานการรักษาที่ทันสมัย

 

  

ที่มา: World Health Organization (WHO), รายงานข้อมูลทรัพยากรสาธารณสุข ประจำปี 2566

หมายเหตุ: ตัวเลขที่แสดงเป็นตัวเลขปีล่าสุดของแต่ละประเทศที่ถูกแสดงและจัดเก็บจาก World Health Organization (WHO)

Leave a Comment

Your email address will not be published.

Scroll to Top